เข้าสิง กับ เข้าทรง

ทรง หมายถึง การตั่งอยู่ การรักษาสภาพนั้นไว้ เข้าทรงจึงแปลว่าเข้าไปรักษาไว้ให้ตั่งอยู่ในสภาพนั้น
สิงสู่ หมายถึง เข้าอยู่ การอาศัยอยู่ ผีเข้าสิงสู่จึงหมายถึง ผีเข้ามาอยู่อาศัยพึ่งพิงร่างนั้น
เราอาจจะเข้าใจว่าเวลาทรงหรือเทพประทับร่าง ท่านได้เข้ามาสิงในร่าง ความจริงไม่ใช่ ในพระไตรปิฏกท่านว่ากลิ่นตัวของมนุษย์นี้เหม็นแรงมากเป็นที่รังเกียจแก่เทวดา แต่ภพของมนุษย์กับเทวดาคนละภพกัน เมื่อท่านมาสื่อกับผู้เป็นร่างท่านจึงสื่อทางจิต ฉนั้นคนที่ทำการทรงจึงต้องมีสมาธิจึงสื่อกับเทพได้ (กลิ่นศีลและธรรมจะหอมกลบ) การทรงจะเป็นภาพเชิงซ้อน ไม่ได้สิงสู่เหมือนผีคือเข้ามาอยู่ในร่าง ผีสามารถเข้าได้ไม่เหม็นเพราะเขาก็อยู่ภพที่เหม็นยิ่งกว่ามนุษย์อีก ต้องเข้าใจว่าการทรงเป็นการสื่อกับเทพทางจิต ท่านจึงเรียกอาการนี้ว่าทรง เพราะเป็นการเข้าไปตั่งจิตไว้รักษาไว้ซึ่งการสัมผัสนั้น ถ้าคนฝึกจิตสามารถเห็นอีกภพหนึ่งได้ นี้เป็นวิชชาหนึ่งในฤทธ์ทั้งแปดที่มีมาก่อนศาสนา ฤาษีที่ได้สมาธิท่านทำกันได้ เป็นตัวอย่าง ซึ่งการฝึกสมาธิได้ขั้นกลางๆนี้ก็สามารถเข้าถึงฤทธิ์เหล่านี้ได้ แต่จะให้ผลได้ตามกำลังสมาธิ อุปมาเหมือน เด็กเมื่อโยนก้อนหินย่อมโยนไปได้ไม่ไกลเพราะกำลังน้อย ส่วนผู้ใหญ่นั้นย่อมโยนไปได้ไกลกว่าเพราะกำลังมีมากกว่านั้นเอง ส่วนคนที่มีทุนเดิมบารมีเดิมดีอยู่แล้ว บางคนก็เป็นได้แม้ไม่ได้ฝึก การสื่อกับเทพได้ไม่ใช่เรื่องง่ายและไม่ใช่เรื่องยาก หากพูดตามหลักธรรมแม้แต่เราเอง ถึงยังไม่ตายก็เป็นเทพได้ เพราะเป็นได้ด้วยคุณธรรม เทพมีคุณธรรมสองประการ คือหิริ โอตตัปปะ ถ้าฝึกทำจิตให้มีธรรมสองประการนี้ก็เรียกได้ว่าขณะนั้นจิตของเราได้เป็นเทพ ส่วนถ้าเราฝึกสมาธิได้มีคุณธรรมสูงกว่าเทวดา เทวดาก็จะช้วยเหลือเราได้เป็นเรื่องปกติ ครูท่านเคยอุปมาไว้ว่าคนเรียนนายร้อยถึงยังไม่จบยังไงวันหนึ่งก็ต้องเป็นนายร้อย คนเป็นนายสิบก็ต้องให้ความเคารพอยู่ดี เทวดากับมนุษย์ก็เหมือนกัน ภพเทวดาอาจสูงกว่ามนุษย์ แต่มนุษย์สามารถยกจิตฝึกจิตให้สูงกว่าภพเทวดาได้ ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ฉนั้นเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเกินสักยภาพมนุษย์จะทำได้ ฉนั้นการทรงคือการสือจิตกับอีกภพแล้วตั่งจิตไว้ในอารมณ์ของภพนั้นๆ ง่ายๆ ถ้าสื่อได้แล้วจะทรงก็ได้ไม่ทรงก็ได้ อยู่ที่ว่าเราจะยอมหรือไม่ยอม คนที่ยอมคือยกคุณท่านเป็นครู หรือยกท่านเป็นเจ้าชีวิต ก็แล้วแต่ปัญญาต่างกัน ส่วนเมื่อทำการทรงแล้ว บางคนก็จะสติดับไม่รู้เรื่อง บางคนก็มีสติรู้อยู่มากบ่างน้อยบ่าง ในอาการกิริยาที่ตนแสดง แต่บังคับตนเองไม่ได้ ถ้าคนเคยของขึ้นเพราะรอยสักจะเข้าใจ เพราะเป็นอาการเดียวกัน ต่างกันที่เหตุเท่านั้น แต่ก็มีข้อให้พิจจารนาอีกว่า คนที่มีองค์เทพมาทรงนั้นสามารถเป็นได้ทั้งผีและเทพ ที่กล่าวอย่างนี้เพราะเมื่อเราเปิดจิตรับรู้กับอีกภพหนึ่ง นั้นก็เป็นเหตุที่เราเปิดช่องทางให้สิ่งไม่ดีแทรกได้เช่นกัน ปู่ต้อยท่านจะอธิบายว่า มันมีทั้งกาขาวและกาดำ ปกติกาแท้มันสีดำ ส่วนของปลอมมันสีขาว ภาวะที่ผีเข้าแทรกได้จะเป็นตอนที่เริ่มมีองค์ครูมาจับใหม่ๆ ถ้าบางคนทำพิธีรับครูรับขันห้าและครอบมาผิดๆ ไม่ถูกต้อง ก็จะเป็นการรับเอาผีมาแทน เช่นบางคนชอบรับแบบง่ายๆไม่อยากเสียเงินซื้อเครื่องบูชาครูก็จะทำเครื่องครูไม่สมบูรณ์ เวลาเชิญเทพหากเครื่องบวงทรวงไม่ครบและถูกต้อง เทพท่านก็ไม่มา ผีก็จะมาแทนและแทรกในระหว่างพิธีได้ ในส่วนการทำพิธีรับขันห้าครอบครูทรง จะต้องตั่งขันเครื่องบวงทรวงชุดใหญ่เหมือนการไหว้ครูประจำปี ซึ่งต้องใช้งบมาก ฉนั้นครูที่ท่านรู้หลักพิธีแต่ต้องการอนุเคราะห์ศิษย์ ก็จะให้แต่งเครื่องตามกำลังมารวมกับพิธีไหว้ครูประจำปี เพราะในพิธีนั้นของบวงสรวงจะครบบริบูรณ์ การเชิญเทพก็จะสมบูรณ์ ส่วนคนที่สงสัยว่าคนมีองค์ทำไมต้องรับขัน เหตุเพราะถ้าไม่ทำการรับขันครอบครูให้ถูกต้อง ครูเทพที่ท่านต้องการสื่อกับเราท่านก็จะไม่สามารถสื่อกับเราได้สมบูรณ์ เพราะไม่มีที่เกาะที่ยึดเป็นหลักที่จะเป็นเครื่องสื่อกลางระว่างองค์ครูกับร่างทรง ขันครูที่เรารับจากครูผู้เป็นเจ้าพิธีนั้นแหละคือสื่อกลางขององค์ครูกับร่างทรง และบางคนไม่ทำการทำพิธีชีวิตก็จะมีแต่ปัญหาก็มี ทั้งด้วยเหตุที่ว่าเมื่อจิตเราเปิดรับแล้ว ผีมันก็เข้าแทรกได้ ท่านที่สงสัยเรื่ององค์นั้นและพิธีกรรม ก็ได้อธิบายให้พอเกิดความเข้าใจ ส่วนใครจะมีหรือไม่มีนั้น ไม่ต้องไปแสวงหา คนที่มีองค์ครูท่านจะสื่อให้รู้เองไม่ต้องตามหา สัตว์โลกทั้งหลายต่างก็มีกรรมเป็นของๆตน มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ไม่ว่าจะเป็น พรหม เทพเทวดา มนุษย์ สัตว์ และภพภูมิอื่นๆ ต่างก็มีกรรมดีกรรมชั่วของตนเป็นเผ่าพันธ์เป็นที่พึ่งอาศัยทั้งสิ้น ขอให้ตั่งตนอยู่ในความดีการกระทำที่ดี เราก็จะได้เกี่ยวข้องกับเผ่าพันธ์ที่ดีที่สูง มีมิตรที่ดีเป็นที่พึ่งพาแก่กันเด้อ ....สาธุๆๆ
( การทรงคิดเอาไม่ได้ ที่เราหมายว่าอุปาทานเองไม่ได้ ใครว่าคิดเอาก็ลองมานั่นนึกว่าตนกำลังทรงเทพดูสิ มันจะเป็นใหม .. มันมีแต่จริงไม่จริง )
อุปปาทานหมายถึงความยึดมั่นถือมั่น ถ้าตราบใดยังมีกิเลสอยู่ก็ยังมีทุกคน แม้แต่คนพูด อ่านแล้วให้ตั่งเจตนาเพื่อเป็นข้อคิดพิจจารณา ให้เกิดสติปัญญา อย่าพึ่งเชื่อด้วยปักใจเชื่อ แต่จงเชื่อเพื่อเป็นข้อพิสูจน์ สาธุๆๆๆ
มีข้อสงสัยอะไรพิมพ์ไว้ใต้โพส ถ้าตอบได้จะตอบ หากเกินความรู้ความเข้าใจก็จะไม่ขอตอบ ในข้อความทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวซึ่งก็อาจมีทั้งที่ถูกและผิด ก็ขอให้ผู้อ่านตรองและพิจจารนาเอา สาธุๆๆ
ต้องการลงโฆสนาติดต่อโดยตรงที่เบอร์ 0869732570
เดือนละ150บาท ต่อ หนึ่งหัวข้อ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น