วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2559

บริกรรมคาถาให้เกิดสมาธิเพื่อความขลังศักดิ์สิทธิ์แห่งมนต์ตรา

ภาวนาคาถาให้เกิดสมาธิเพื่อความขลังศักดิ์สิทธิ์แห่งมนต์ตรา




การทำสมาธิโดยวิธีนึกถึงคำภาวนา การทำสมาธิ คือการทำใจให้สงบนิ่งรวมเป็นหนึ่งเดียว มีวิธีทำได้หลายวิธี  ในการภาวนานั้นผู้ทำสมาธิจะนึกถึงคำใดคำหนึ่งตามที่ พระอาจารย์จะเลือกให้หรือเลือกเอง เช่นคำว่า พุทโธ อรหัง ยุบหนอพองหนอ เป็นต้น  การนึกว่าในใจซ้ำๆ ขณะเดียวกันก็น้อมใจนึกถึงแต่คำบริกรรมนั้นไม่หยุด  นับเป็นชั่วโมงหรือเป็นวัน  ติดต่อกันเนืองๆ  ก็จะทำให้เกิดสมาธิจิตขึ้นมาได้   แม้ในหลักของการใช้คาถาให้ศักดิ์สิทธิ์   ก็มีหลักการปฏิบัติที่สอดคลองอย่างเดียวกัน   นั่นก็คือเมื่อเราต้องการเล่าเรียนคาถาให้ศักดิ์สิทธิ์เข้มขลัง  ก็ให้เลือกเอาบทคาถาบทใดบทหนึ่งมาท่องบริกรรมในใจตลอดทั้งวัน   น้อมจิตนึกถึงตัวบทคาถากลับไปมาอยู่อย่างนั้น  แม้จะทำอะไรอยู่ก็น้อมจิตนึกถึงคาถาบทนั้นๆกลับไปกลับมา  ทำจนจิตเรารวมเป็นอันเดียวกับคาถาบทนั้นๆ   ก็จะทำให้เกิดจิตชนิดหนึ่งที่เรียกว่า  อารมณ์เดียว  จิตเป็นหนึ่งเดียว  มีสมาธิกำลังที่ตั่งมั่น  ถ้าเป็นคาถาด้านคงกระพัน  จิตจะฮึกเหิม  ไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดเลย  ยิ่งบริกรรมขนหัว  ขนตัวจะยิ่งลุกเป็นปิติเกิดขึ้นเป็นละลอก  จิตจะกล้าแข็งคาถาก็จะเกิดอานุภาพเข้มขลังมาก   คนใดทำได้อย่างนี้  ฝึกได้อย่างนี้  คือไม่ขี้เกียจขี้คลานในการบริกรรม  ตั่งจิตน้อมนึกถึงคุณครู  น้อมนึกถึงบทคาถา  และเพียรพยายามท่องซ้ำไปมาในใจไม่ได้ขาด   เขาผู้นั้นย่อมให้ถึงความสำเร็จแก่การเล่าเรียนคาถาเลขยันต์ได้เร็วไวอย่างแน่นอน  วิธินี้ผู้เขียนได้ทำมาเป็นผลมาแล้ว   ถ้าใครทำตามจะเกิดผลตามที่กล่าวมา  เมื่อเริ่มเรียนกับพ่อครู  ผมเองจะเอาบทคาถามากระทำอย่างที่กล่าวนี้ไม่ถึงสามวันก็ให้เห็นความแตกต่างและเปลี่ยนแปลง   เราอาจเข้าใจแค่ว่าการทำสมาธิทำได้แค่การนั่งสมาธิจึงเรียกว่าทำสมาธิ  แท้ที่จริงแล้วการที่เราจะทำให้จิตเกิดเป็นสมาธิและมีกำลังได้นั้น  มีหลายวิธี  และวิธีหนึ่งนั้นก็คือการใช้บทคาถามาภาวนาแต่ในใจซ้ำไปมา   ถ้าในหลักการปฏิบัติธรรม  การภาวนานั้นจะมีเจตนาเพื่อให้จิตสงบระงับจากนิวรณ์ธรรม  คือเครื่องเศร้าหมองใจ  เมื่อนิวรณ์สงบก็จะพัฒนาจิตเข้าสู่การเจริญปัญญาเป็นลำดับ   หากแต่เมื่อเราต้องการนำสมาธิมาใช้กับการเรียนพระคาถานั้น  ครูบาอาจารย์ท่านก็จะสอนให้เอาบทหัวใจคาถานั้นๆให้ฝึกในการภาวนาในใจ จนเกิดสมาธิและเป็นผลให้คาถาเข็มขลัง   ฉนั้นถ้าผู้ใดเล่าเรียนคาถาแล้วรู้สึกว่าตนเองเรียนไม่ขลังไม่ศักดิ์สิทธิ์   ก็ให้ปฏิบัติตามที่กล่าวสอนนั้นเสีย  แล้ววิชาจะเกิดความก้าวหน้า  เมื่อท่านจะเรียนวิชาควบคู่ไปกับการบริกรรมนั้น   สิ่งจำเป็นอย่างหนึ่งที่จะเป็นเครื่องควบคุมจิตเราให้ดำเนินไปตามรอยความดีได้คือการทำตนให้มีศีล  ฝึกสมาธิ  เจริญสติไปพร้อมๆกับการฝึกเอาคาถามาภาวนา   เพราะเเรงแห่งคาถานั้น  ถ้าผู้ใดเรียนขลังมากๆ  จะฮึกเหิมมาก   ยิ่งขลังยิ่งฮึกเหิมไม่เกรงกลัว  จนบางครั้งลืมนึกถึงชั่วดีไปเลย   คนถ้าขาดสติยับยั้งมันก็สามารถทำให้เกิดผลเสียหายได้  ถ้าเคยได้ยินประวัติคนเก่าก่อนที่ท่านเรียนวิชาขลังๆ  เวลาวันพระหรือวันโกน  แม้บ่างทีเวลาโกรธ  ก็จะแสดงอาการที่น่ากลัวและเหลือเชื่อ   ครูบางคนวิชชาแข็งมากๆ  เวลาของขึ้นแล้วบังคับความรู้สึกตนไม่ได้ก็จะต้องหาที่ละบาย  เช่นวิชาหนุมานคลุกฝุ่นบางท่านตอนของขึ้นวิ่งชนเข้าไปในกอไผ่หนามโดยไม่เป็นอะไร  แต่พอหมดฤทธิ์เท่านั้น  ออกจากกอไม้ไผ่หนามไม่ได้  ต้องให้คนตัดเข้าไปช้วย  อย่างนี้ก็มี   ซึ่งก็เป็นอาการคนเรียนวิชาขลัง  แต่ควบคุมจิตตนไม่ค่อยได้   ฉนั้นก็ต้องให้ผู้ฝึกปฏิบัติศีลธรรม   จะได้มีสติยับยั้งตนได้  วิธีเรียนให้คาถาขลังมันมีเคล็ดไม่มากอะไร  บางทีมันเรื่องง่ายๆที่เรามองข้าม  สิ่งหนึี่งที่อยากจะเตือนท่านทั้งหลาย  ความขลังความศักดิ์สิทธิ์นั้น  เมื่อมีมากใจมันก็ร้อนรนเป็นทุกข์  เพราะจิตมันมุ่งแต่เรื่องอย่างนี้ เพียงอย่างเดียวโดยขาดหลักเเห่งสติปัญญาคอยควบคุม  คนที่เพ่งไปทางใหนมาก  จิตก็จะเอนเอียงไปในทางนั้นมาก  คนเรียนเสน่ห์มาก หากไม่ตั่งมั่นด้วยจิตอันเป็นกุศล ใจเราก็จะเอนเอียงไปในด้านกามารมณ์ ทำให้จิตพอกพูนในกามคุณ  จิตจะนึกวนแต่เรื่องกาม  เรื่องการเสพกาม   คนเรียนคงกระพันก็จะเอนเอียงไปทางโทษะมาก  กระทบกับอารมณ์มีคนว่านิดหน่อยก็โกรธตัวสั่นใจสั่นขนลุกขนพอง   แทบอยากจะฉีกเนื้อคนอื่นกิน  ความรู้สึกมันอย่างนั้นเลย  
ทุกอย่างในโลก  มันมีทั้งข้อดีและข้อเสียในสิ่งๆนั้น  หากเราท่านมีกุศลจิตมีสติปัญญาประกอบเราก็จะสามารถเลือกใช้ด้านดีๆได้อย่างถูกต้องและควบคุมด้านไม่ดีได้ไม่ให้เกิดโทษ   และก็ไม่มีใครทำให้กันได้  มีแต่บอกกันไว้เตือนกันไว้เท่านั้น  ต่างคนต่างก็ต้องทำเอา   ในหลักการฝึกคาถาให้ขลังที่กล่าวมานี้  ผมก็ได้แสดงทั้งผลดีและผสเสียให้ได้เห็น  เพื่อให้เราท่านได้พิจจารนาเอาในการถือปฏิบัติ
ท้ายที่สุดนี้  ก็ขอให้จิตเรานั้น  ตกอยู่ในอำนาจความดีให้มากเถิด  ไม่มีอะไรเกินกรรม  เมื่อรู้เช่นนั้น  จงหมั่นสร้างกรรมดีให้จงมาก  เพื่อเราจะได้เป็นที่พึ่งที่แท้จริงในทุกๆภพชาติที่ยังเวียนเกิดเวียนตายอยู่
จงใช้วิชาเป็นเครื่องมือเเสวงหาความดีเข้าตน  อย่าเอาวิชามาครอบงำใจตน  เด้อออ      สาธุๆๆ




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น