วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่๓

เอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่๓




ประสิทธิ์ ปาปะแพ
4 พฤศจิกายน 2014 · 
ตำราต่างๆจะเรียกว่า วิชาคือความรู้ ได้ ต้องอาศัยการมีธรรมะประจำใจ หากไม่มีแล้วตำราที่ใช้ก็จะเป็นอวิชชาไป เพราะอวิชชาหมายถึงความไม่รู้ ในบาปบุญคุญโทษประโยชน์มิใช่ประโยชน์



ประสิทธิ์ ปาปะแพ
6 พฤศจิกายน 2014 · 
การปฏิบัติธรรมเจริญภาวนานั้น เมื่อกำลังนั่งภาวนาอยู่อาจมีเรื่องราวหรือภาพต่างๆเกิดขึ้นในจิต ทำความรำคาญให้ผู้ต้องการความสงบ การที่จะแก้สภาวะต่างๆเหล่านี่คือใช้สติระลึกรู้เท่าทันความคิด อย่าไปยินดียินร้ายกับความคิดต่างๆ เป็นเรื่องปกติที่จิตมันต้องคิดเป็นธรรมดา เราก็มีหน้าที่รู้ว่ามันคิดอะไรก็พอ ฝึกรู้เท่าทันมันก่อน มันคิดไปเรื่องใหนรู้ทันแล้วกลับมาที่การทำสมาธิ คิดไปรู้ทันแล้วมาภาวนาเหมือนเดิม ทำอย่างนี้ไปเรื่อยเมื่อจิตคิดไปเรื่องอื่น มันจะเท่าทันความคิด เอง การทำสมาธิไม่ใช่ไปห้ามความคิด แต่เป็นการฝึกให้รู้เท่าทันความคิด อาศัยตัวสติเป็นเครื่องผูกใจให้อยู่ ส่วนสมาธิคือความตั่งใจเราทำอยู่แล้วมันเริ่มตั่งเเต่เราเริ่มนั่ง พระพุทธเจ้าจึงเปรียบจิตเหมือนวัว สติเหมือนเชือก สมาธิคือหลัก วัวมันจะเดินจะกินหญ้ามันก็เดินและกินอยู่ในขอบเขตแค่เชือกมัดกับหลักไว้ ไม่ได้หากินเรื่อยเปื่อย จิตก็เหมือนกันมันยังต้องคิดต้องเสพเอาอารมณ์ภายนอกมาคิดเป็นปกติ แต่เรามีสมาธิและสติปัญญาคอยดูแล ไม่ให้มันตะเลิดไปโดยขาดการยับยั้ง ฝึกรู้ความคิดตนตลอดทั้งในยามนั่งสมาธิและเวลาปกติ เท่านี้ก็คือการปฏิบัติแล้ว กินข้าวก็ให้กินด้วยสติ มีความตั่งใจกินคือสมาธิเป็นหลัก ทำสมาธิอย่าไปเคร่งเคลียดเอาแบบกลางๆ แต่ทำอย่างสม่ำเสมอ ถ้าเอาทุกลมหายใจที่มีอยู่เป็นการปฏิบัติได้ ชีวิตนี้เราก็ไม่ต่ำกว่าคนแล้ว...



ประสิทธิ์ ปาปะแพ
3 ธันวาคม 2013 · 
ความอัศจรรย์เมื่อใจอัศจรรย์
บทความนี้จะกล่าวถึงเรื่องของใจหรือจิตอันเป็นกุญแจสำคัญในการใช้พระคาถาให้เกิดผลสำเร็จ การท่องบ่นคาถานั้นเมื่อผู้ภาวนากำลังภาวนานั้นจำเป็นที่จะต้องตั้งจิตให้เป็นสมาธิ ผู้ที่มีสมาธิจิตแรงกล้ามากพระคาถาที่ภาวนาท่องบ่นนั้นก็จะเกิดอิทธิปาฏิหาริย์มาก ผู้มีสมาธิน้อยผลก็เกิดน้อยหรือไม่เกิดผลสำฤิทธิ์เลยก็มี ฉนั้นการนั่งสมาธิฝึกจิตให้ตั้งมั่นนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆในการเล่าเรียนพระคาถาต่างๆ ความสำคัญที่ลองลงมาคือการไหว้ครู ที่เรียกว่าขันครูที่ครูบาอาจารย์ได้กำหนดไว้ ผู้เรียนจะต้องได้แต่งขันแล้วนำไปไหว้ครู เพื่อครูท่านจะได้กล่าวประสิทธิ์ประสาทวิชชานั้นๆให้ โดยต้องกล่าวอ้างถึงครูแก่เก่าก่อนจนถึงปัจจุบันให้มาเป็นสักขีพะยานในการประกอบพิธีกรรม เพื่อการได้รับอนุญาติในการใช้พระคาถาบทนั้นๆให้เกิดความศักดิ์สิทธ์ความเข้มขลัง หากเราไม่ได้รับอนุญาติด้วยการไหว้ครูแล้ว ต่อให้เราได้คาถามาก็ใช้ไม่เกิดผลหรือจะเกิดผลบ่างก็ด้วยความศรัทธาอย่างแรงกล้าและสมาธิที่มีเองโดยธรรมชาติแห่งจิต ความสำคัญอีกอย่างคือข้อห้ามที่เราจะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเมื่อได้ยกครูไหว้ครูมาแล้ว บางอาจารย์ท่านก็อาจบอกว่าไม่มีข้อห้ามอะไร แต่ที่แท้แล้วการไม่ประมาทครูลบหลู่ดูหมินครูตน จะทำให้วิชาที่เรียนเข่มขลังไม่เสื่อม แต่ถ้าจิตคิดลบหลูปรามาทท่านแล้วคาถาที่เรียนมาจะค่อยๆเสื่อมถอยไป การถือของจึงจำเป็นท่านห้ามอะไรเราต้องปฏิบัติให้ได้เพราะนั้นมันหมายถึงเรารับสัจจะวาจาจากท่าน ถ้าทำไม่ได้มันก็ผิดสัจจะวาจา และผู้ที่จะรักษาได้ไม่เสื่อมคลายคือผู้ที่มีความเชื้อศรัทธาด้วยใจจริง ไม่ใช่ความอยากรู้อยากลอง และความอยากรู้อยากลองมันจะทำให้เราทำการไม่สำเร็จจนถึงของเข้าตัว ของเข้าตัวนั้นก็มีอาการหลายประการ อย่างเบาหน่อยก็ปวดหัวตัวร้อนไม่ทราพสาเหตุ หรือควบคุมสติไม่ค่อยได้ เรียกว่าโกรธง่ายหงุดหงิดง่าย จนถึงเหม่อลอยไม่ค่อยมีสติ อย่างหนักเป็นบ้า เป็นปอบ ตายในที่สุด และก็แล้วแต่คาถาที่เรียนนั้นจะเป็นสายดำหรือสายฤาษีสายพุทธคุณ ฉนั้นผู้ทีจะร่ำเรียนคาถาหรือสักยันต์ก็ดีจำเป็นที่จะต้องรู้และเข้าใจในความสำคัญในการปฏิบัติอย่าถูกต้อง เมื่อเรารู้และเข้าใจดีแล้วการที่เราจะลงมือทำมันก็เกิดข้อผิดพลาดได้น้อย ส่วนคนที่ของขึ้นเพราะทำผิดครูบ่อยๆอย่าคิดว่าดี มีบางคนสักแล้วท่านห้ามกินเหล้าเดนก็ดีหรืออย่างอื่น เมื่อทำผิดของจะออกอาการฟ้องที่เราเรียกของขึ้นผู้สักเสือก็จะแสดงท่าทางเป็นเสือ อันนี้ไม่ใช่ผลดี เพราะของที่เรากระทำมามันจะเสื่อมจนสูญไปในที่สุดเมื่อเป็นบ่อยๆ แต่ถ้าขึ้นเพราะถูกปลุกหรืออยู่ในพิธีกรรมอันนี้ไม่เป็นไร การเรียนสิ่งอัศจรรย์ใจเหล่านี้อย่าลืมข้อหนึ่งว่าเรามีไว้คุ้มครองตน หากปฏิบัติตามครูบอกได้อย่างเคร่งครัดก็คุ้มครองเราได้เต็มที่ ถ้าทำผิดต่อคำเตือนครูมันจะเข้าตัวในที่สุด ท่านบอกเรียนแล้วอย่าไปทำร้ายคนอื่นหรือเป็นนักเลงตีคนโน้นทีมีเรื่องประจำสักวันมันก็พลาด ครูไม่ได้ทิ้งเราแต่เรานั้นแหละทิ้งครู แต่ถ้าเราทำได้ปฏิบัติได้ บางคนเก่งกว่าครูผู้สอนก็มีมากให้เห็น ครูไม่มีชื่อแต่ศิษย์เด่นดังก็มี ฉนั้นก่อนที่จะอัศจรรย์ใจ เราก็ต้องฝึกให้ใจตนอัศจรรย์เสียก่อน เพราะสิ่งเหล่านี้มันเชื่อด้วยตาเปล่าไม่ได้ ต่อให้ยิงไม่เข้าฟันไม่เข้าต่อหน้าคนอื่น จะให้คนเชื้อทั้งหมดก็ไม่ได้ มันต้องพิสูจณ์ด้วยการลงมือทำ และทำอย่างจริงจัง สิ่งที่เรารักมันจะไม่ใช่ของยากแต่มันจะเป็นสิ่งท้าทายให้เราทำให้เกิดผลสำเร็จ...การทำสมาธิก็ให้ฝึกอย่างน้อยที่สุด10นาทีทุกวัน จะด้วยวิธีใดองค์กรรมฐานใดก็ได้ ใครถนัดพุทโธก็ใช้พุทโธ หรือดูลมหายใจเข้าออกเฉยๆก็ได้ จิตจะสงบหรือไม่ก็ตามเราก็ต้องฝึกทำ 10นาที่ พอแล้วชำนานแล้วก็อธิฐานเพิ่มให้นานต่อไป สถานที่จะเสียงดังหรือเงียบไม่สำคัญ การทำสมาธิทำได้ตลอดและทุกโอกาส อย่ารอโอกาส เราต้องสร้างโอกาสให้กับตนเอง เพราะโอกาสมันเป็นการกระทำของเรา ทำเมื่อไหร่มีโอกาสเมื่อนั้น เพราะการใช้คาถาในบางโอกาสเราก็ต้องท่องในขณะคับขันจวนตัวเช่นตอนมีเรื่อง มีสติก็ต้องตั่งจิตเป็นสมาธิแล้วภาวนาให้คาถาคุ้มครองตน อย่างนี้เป็นต้น ใครสักมาก็ต้องนึกถึงรอยสักและครูอาจารย์ของตนให้มาคุ้มครอง ส่วนการใช้เคล็ดลับในการนำสมาธิมาใช้กับการภาวนาคาถาได้อย่างถูกต้องนั้นจะอธิบายในบทความต่อไป........!


ประสิทธิ์ ปาปะแพ
8 พฤศจิกายน 2014 · 
หากคำติเตียนของครูเป็นเหมือนเข็มทิ่มแทงใจศิษย์ เขาจะไม่มีวันเจริญได้เลย
หากวันใดเราพิจจารณาเห็นแล้วว่าคำติของครูนั้นท่านได้ชี้ขุมทรัพย์ให้แล้วเมื่อนั้นแหละ เขาจะเจริญในวิชชา ทุกวันนี้ที่ผมเล่าเรียนตำราจากครูผมก็ไม่ได้เจริญเพราะคำชมท่าน แต่ผมเจริญเพราะคำติเตียนของท่านเหล่านั้น เพราะมันทำให้เรามองเห็นความด่อยและข้อบกพร่องของตนและได้รู้แก้ไข...



ประสิทธิ์ ปาปะแพ
10 พฤศจิกายน 2014 · 
ถ้าใครทำ ให้โกรธ อย่าโทษเขา
ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
ถึงแม้นว่า เรื่องนั้น จะมาแรง
ถ้าใจแข็ง เป็นอัน ชนะมัน
..เคาะสนิมจิต ด้วยบทกลอน ...พระอาจารย์ ธิตะเปโม พูลเพิ่ม



ประสิทธิ์ ปาปะแพ
14 พฤศจิกายน 2014 · 
ถ้าเราตั่งใจจริงลงมือกระทำการต่างๆ และรักษาความตั่งใจจริงนั้นไว้ได้จนงานนั้นๆสำเร็จ รู้ไว้เถิดนั้นแหละสมาธิ คือความตั่งใจมั่น นั่นเอง เรื่องการใช้คาถาก็อาศัยสมาธิอย่างนี้แหละที่ทำให้เกิดผลอัศจรรย์ได้ ไม่มีอะไรซับซ้อน ทุกอย่างถ้าคิดว่าง่ายและทำได้เมื่อเริ่มลงมือทำ เราก็ประสบความสำเร็จไปแล้วกว่าครึ่ง...



ประสิทธิ์ ปาปะแพ
19 พฤศจิกายน 2014 · 
ฉันไม่ได้เก่ง. ฉันไม่ได้กล้าอะไร. ฉันมีวิชชาเลี้ยงตัวได้เพราะฉันเคารพครูฉัน. ครูทุกท่านช้วยฉัน. ถ้าไม่ได้ท่านเหล่านั้น. ก็คงไม่ได้มีความรู้มาบอกต่อเธอทั้งหลาย. และถ้าไม่ได้ความศรัทธาจากเธอทั้งหลาย. ฉันก็ไม่ได้เป็นครูใคร. คุณของครู น้ำใจของศิษย์ ฉันนั้นสำนึกเสมอ. สาธุๆๆ



ประสิทธิ์ ปาปะแพ
29 พฤศจิกายน 2014 · 
หลวงพ่อพุทธทาส...
ตนเตือนตน ของตน ให้พ้นผิด
ตนเตือนจิต ตนได้ ใครจะเหมือน
ตนเตือนตน ไม่ได้ ใครจะเตือน
จงเตือนตน ของตน ให้พ้นภัย
...ครูที่เราละเลยไม่ได้เลยคือครูในใจตนนั้นแหละที่สอนตนได้ดีที่สุด ส่วนครูภายนอกท่านได้แค่แนะนำพร่ำสอนเท่านั้นเอง ครูท่านบอกรักษาศีลนะ ท่านก็พูดได้แค่นั้น ส่วนคนรักษาจริงๆมันเรา..



ประสิทธิ์ ปาปะแพ
3 ธันวาคม 2014 · 
มัวหลงคิด โทษดินฟ้า ว่าลิิขิต ให้ชีวิต เป็นไป อยู่อย่างนั้น
โทษสวรรค โทษเทวดา ว่าลงทัณ ปัดความผิด ของตนนั้น อยู่ร่ำไป
ตนคนคิด คนทำ ให้จำไว้ ไม่มีใคร มาบันดาล มาขีดให้
สุขตนทำ ทุกข์ตนทำ ไม่ใช่ใคร เมื่อหลงไหล ก็หลงทำ ผลรับเอง
เมื่อคิดดี ทำดี ผลคือสุข ที่เป็นทุกข์ เพราะคิดชั่ว ทำมัวหมอง
รู้อย่างนี้ ก็ฝึกไว้ ที่ใจคลอง กายเป็นรอง ใจเป็นหนึ่ง ถึงความจริง
ฝึกให้รู้ ความจริง กายใจนี้ รู้ว่ามี ความไม่จริง เป็นสิ่งคู่
เท็จกับจริง จริงกับเท็จ ฝึกให้รู้ แล้วจะอยู่ รู้หน้าที่ อย่างมีธรรม....



ประสิทธิ์ ปาปะแพ
4 ธันวาคม 2014 · 
เราทุกคนที่เกิดมา ต่างก็บ่ายหน้าสู่ความตาย เหมือนโคที่เดินไปสู่ที่ฆ่าฉนั้น ทุกก้าวที่เดินคือการก้าวเข้าไปสู่ความตาย แล้วเรามีชีวิตอยู่...อย่างไร เพื่ออะไร...ลองถามตัวเองดู



ประสิทธิ์ ปาปะแพ
4 ธันวาคม 2014 · 
บวชเพื่ออะไร...
ยังมีคนจำนวนไม่น้อยทั้งที่เคยบวชและยังไม่เคยบวช ที่ยังไม่เข้าใจว่าบวชเพื่ออะไร ได้อะไร บางท่านจึงไม่นึกถึงความสำคัญและเห็นการบวชเป็นเรื่องน่าเบื่อยุ่งยาก จนไม่อยากบวช แม้บวชก็ด้วยทำตามๆกันตามประเภณีเท่านั้น จึงเห็นได้ว่าแม้คนที่บวชแล้วสึกขาลาเพศออกมาก็ยังไม่รู้เลยว่าตนเองได้อะไรจริงแท้ในการบวช หรือเข้าใจกันเพียงว่าบวชแล้วได้บุญ เท่านั้น แท้ที่จริงการบวชในพระพุทธศาสนาก็เพื่อมาขัดเกลาตน มาฝึกตนและนำแนวทางที่ได้ฝึกในขนะที่บวช นำออกไปใช้ในการเดำเนินตนได้อย่างเหมาะสมดีงาม เราเข้ามาบวช ครูท่านจะสอนให้ฝึกตนเคยกินตามอยาก ก็รู้จักการฉันเพื่อความอยู่รอด เคยนอนในที่นอนสบายๆก็มาฝึกนอนดิน สิ่งเหล่านี้ล้วนจะเป็นประโยชน์อย่างมากเมื่อเรานำออกไปใช้ในการดำเนินชีวิต เคยเป็นคนนอนยาก กินยาก เราก็จะรู้จักบังคับตนให้อยู่ง่ายในทุกที่ ความทุกข์ใจวุ่นวายใจมันก็จะเริ่มน้อยลง เคยพูดมากไร้สาระก็จะพูดน้อย พูดแต่สิ่งมีสาระ เคยคิดเรื่อยเปื่อย ก็จะรู้จักคิดอย่างมีระเบียบแบบแผน อย่างนี้ การฝึกตนให้มีระเบียบสามารถควบคุมความคิดควบคุมคำพูด ควบคุมการกระทำได้ เราก็จะไม่กระทำอะไรที่เป็นโทษแก่ตนและคนอื่น ถึงแม้จะผิดพลาดบ่างก็จะยังมีสติปัญญาแก้ไขปรับปรุงได้ ฉนั้นการบวชไม่ใช่บวชมาเพื่อสบายเพื่อหาความสุขสบาย แต่บวชเพื่อมาฝึกตนและนำหลักการฝึกตนที่ได้ฝึกฝนเล่าเรียนนั้นไปใช้ได้ในทุกที่ เมื่อทุกข์เกิดขึ้นเราจะได้ไม่ฟูมฟาย บางคนอาจเจอปัญหาการคลองชีวิตคู่ ก็จะได้รู้จักอดทนข่มใจ มีสติปัญญาแก้ไขทุกข์ในใจตนได้ การฝึกทนต่อความทุกข์ว่ายากแล้ว ก็ยังไม่สู้การทนต่อสิ่งยั่วยวนชวนหลงไหล เพราะมันเป็นสิ่งที่เราต่างปรารถนาอยู่แล้วตามปกติ ใครทนได้จึงถือว่ามีความทนเป็นเลิศ และการบวชก็ต้องมาทนต่อสิ่งเหล่านี้ จึงฝากถึงผู้จะบวชและบวชแล้วที่ยังไม่เข้าใจเหตุผลแห่งการบวชที่ถูกต้อง จะได้ตั่งใจศึกษาและปฏิบัติอย่างจริงจังเพื่อจะได้ประโยชน์จากการบวชอย่างแท้จริง ผู้ที่บวชแล้วก็ลองทบทวนการบวชของตนดู ว่าเคยฝึกตนอย่างไรบ่าง แล้วเอาสิ่งเหล่านั้นแหละมาฝึกตนและปฏิบัติต่อ ยิ่งผู้ปลุกเสกเครื่องรางของขลัง ก็ยิ่งจะต้องรู้หลักตามที่กล่าวมานี้ เครื่องรางที่ท่านเสกจะได้เป็นเครื่องรางมงคลอย่างแท้จริง เพราะมงคลคือความดี จิตที่ฝึกไว้ดียอมเสกวัตถุให้เป็นมงคลได้ เครื่องรางที่เสกด้วยจิตที่ไม่มีระเบียบ แม้เครื่องรางจะขลัง ก็ไม่ใช่ของมงคล อย่างที่เข้าใจ.....



ประสิทธิ์ ปาปะแพ
5 ธันวาคม 2014 · 
มีความยินดีและดีใจที่วิทยาทานที่ทำไว้เกิดประโยชน์กับหลายๆท่าน ก็อยากแนะอีกอย่างเพื่อจะได้ไม่ผิดพลาดและได้เกิดผลที่ดีมากยิ่งๆขึ้น เวลาเราจารเลขยันต์ตามสูตรนั้น ให้ตั่งจิตใจในการจารตั่งแต่เริ่มลงมือจารจนถึงสิ้นสุด ถ้าเริ่มทำดี ก็จะดีไปทุกขั้นตอน เราจารด้วยความตั่งใจดีแล้วมันก็เกิดผลสมบูรณ์ได้เลย เวลาตั่งขันเสกก็จะไม่ต้องเหนื่อยในการตั่งจิตมาก....



ประสิทธิ์ ปาปะแพ
6 ธันวาคม 2014 · 
การปฏิบัติธรรมเพื่อให้รู้แจ้งในทุกข์ทุกรูปแบบ ไม่ใช่เพื่อหาความสบาย ...
...ธรรมเทศนาที่ได้ฟัง เลยบอกต่อเผื่อมีคนเข้าใจได้ประโยชน์...



ประสิทธิ์ ปาปะแพ
8 ธันวาคม 2014 · 
ผมแค่ทำหน้าที่จุดประกายให้เท่านั้นนะ ส่วนความอัศจรรย์มันมีอยู่เองแล้วโดยธรรมชาติของทุกคน ฝึกนำมันออกมาใช้เอาเถิด...ด้วยความตั่งใจจริง..!



ประสิทธิ์ ปาปะแพ
19 ธันวาคม 2014 · 
ในความเห็นส่วนตัว
ไม่มีใครเก่งกว่าใครหรอก มีแต่คนรู้ก่อนบอกคนรู้หลัง คนรู้หลังจึงเคารพคนรู้ก่อนด้วยคุณของผู้อุปการะ ต่อเมื่อเราได้รับอุปกระแล้ว ที่เหลือก็อาศัยความพยายามในการกระทำ คนที่ทำไม่ได้คือคนที่ไม่ทำและไม่พยายามที่จะทำเท่านั้นเอง...วิริยะ เป็นอาวุธสำคัญอย่างยิ่ง



ประสิทธิ์ ปาปะแพ
25 ธันวาคม 2014 · 
เมื่อไหร่ที่เราเอาตนไปเปรียบกับคนอื่น เราจะกลายเป็นคนที่ด้อยกว่าเขาทันที
เพราะความเป็นจริง ไม่มีอะไรที่เป็นอยู่อย่างนั้นเสมอ เรื่องเวทมนต์คาถาก็ไม่ได้ตั่งอยู่บนความแน่นอน เพราะความจริงมันไม่แน่นอน ที่ขลังเพราะใจมั่น ต่อเมื่อใจหมดความศรัทธามั่นคงมันก็เสื่อม การลองจึงเป็นเพียงแค่การเพิ่มความมั่นใจเท่านั้น และก็เป็นความเชื่อเฉพาะกลุ่มคน มีผลเฉพาะกลุ่มคน คนไม่เชื่อจะแสดงให้เขาดูแค่ใหน เขาก็ไม่เชื่อได้และเกิดผลได้ตามที่เราทำ เราเอาดีมาอวดกันคือใครมีดีเอามาอวดมาแสดงเผยแผ่กัน ที่ผมลองให้ดูมีเจตนาแค่ว่า ทำเป็นตัวอย่างให้ผู้ที่ไม่กล้าทำจะได้กล้าทำตาม จะได้เกิดความเชื่อมั่นและใช้เครื่องรางได้เกิดผลเต็มที่ จะไม่ห้ามในการลอง และคนเรียนกับผมไม่ได้ว่าผมต้องเก่งกว่าเพราะผมเป็นครู แต่ทุกคนถ้าตั่งใจจริงมีคุณธรรมเคารพตนเคารพครู เราก็สามารถเก่งกว่าครูและเชิดชูครูได้ การเป็นศิษย์เป็นครูมันเป็นกันจนตาย ตายแล้วก็ยังระลึกถึงคุณความดีกันอยู่ ผมก็ไม่ได้เก่งอะไรแต่มั่นใจว่าสอนคนให้เก่งได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอยู่ที่ใจบริสุทธิ์ของศิษย์นั้นเอง



ประสิทธิ์ ปาปะแพ
28 ธันวาคม 2014 · 
คนบางคน พยายามเอาชนะคนอื่น ด้วยอำนาจความโกรธ ความอยากได้ และความหลงผิด แม้เขาจะเอาชนะคนอื่นได้แต่หารู้ตัวไม่ว่าเขาได้แพ้ใจตัวเองอย่างมหัน ต์ ไม่มีใครขึ้นสวรรค์ลงนรกเพราะการกระทำของคนอื่นได้เลย ทุกอย่างล้วนเกิดจากตนทั้งสิ้น ผู้เป็นบัณฑิต เขาย่อมพยายามเอาชนะตน เพื่อยกจิตให้พ้นจากอำนาจความชั่วเหล่านั้น ด้วยความศรัทธาเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธองค์



ประสิทธิ์ ปาปะแพ
31 ธันวาคม 2014 · 
บางทีเราไม่จำเป็นต้องเก่งและทำได้ทุกอย่างหรอก เพียงตั่งใจจริงแล้วทำในสิ่งที่ตนรักและถนัดที่สุดเพียงอย่างเดียว เราก็จะประสบความสำเร็จได้ง่าย เหมือนคนขายส้มตำก็ตำส้มตำให้มันอร่อยจริงๆอย่างเดียวนี้ก็ได้ขายรวยก็มีให้เห็น หากเราเป็นคนจับจดไม่เอาแน่สักอย่างเห็นอะไรว่าดีก็จะเอาหมดเป็นหมด เลยจับหลักยึดไม่ได้สักอัน ผมเรียนเลขยันต์ก็เอาเลขยันต์ให้มันเข้าใจและทำได้ ลองผิดลองถูก แต่ก็ไม่ท้อถึงไม่ได้เก่งอะไรแต่เราก็ควรให้มันได้ผลอะไรขึ้นมาบ่าง อย่าหวังแต่ถูกอย่างเดี๋ยวแต่ควรเรียนรู้ในความผิดตนเพื่อแจ้งชัดในความถูกต้อง...ถ้าเข้าใจในหลักนี้เราก็จะมองเห็นความสำเร็จตนได้ว่าอยู่้ไม่ไกล..!



ประสิทธิ์ ปาปะแพ
31 ธันวาคม 2015 · 
ขออวยส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่
ให้ทุกๆท่าน สมหวังในสิ่งที่หวัง อันไม่เป็นเหตุเดือดร้อนตนและคนอื่น ขอให้มีความสุขทั้งภายนอกคือกาย ทั้งภายในคือใจ ดำรงตนอยู่อย่างมีสติในปัจจุบัน กระทำและนำพาแต่สิ่งดีงามเข้าสู่ตนและส่วนรวมเทอญ สาธุๆๆ
อ. น้อย นารายณ์ พลิกแผ่นดิน 31 ธ.ค.2558...!




ประสิทธิ์ ปาปะแพ
29 ธันวาคม 2015 · 
ผู้ที่เรียนตำราแปลงยันต์ผมไป นำไปสักเสกให้ลูกศิษย์ เมื่อเขาทำตัวไม่ดีผิดครูผิดข้อห้าม คาถาเลขยันต์ที่เราเสกกำกับไปจะค่อยๆเสื่อมเอง ไม่ต้องไปใช้คาถาเรียกอะไรกลับดอก เวลาทำก็ให้กล่าวอธิฐานถึงครู ใครนับถือและทำตามก็ให่เจริญ ใครผิดคำไม่นับถือ ทำให้ครูมัวหมองตามก็ให้เสื่อมสูญไป อธิฐานไว้เท่านี้ก็พอ อย่าคิดอาฆาตศิษย์ให้จิตเราเศร้าหมอง เขาทำไม่ดีเขาได้รับผลเอง เราตั่งใจดีไว้แล้วก็ทำตามหน้าที่ ส่วนเขาจะเคารพหรือไม่เคารพ จะทำตามหรือไม่ทำตาม เป็นหน้าที่เขาที่จะต้องทำเอง พ่อครูสอนผมเสมอว่าใครทำไม่ดีกับเราก็อย่าไปจองเวลเขา ให้ธรรมชาติลงโทษเอง ทุกวันนี้ผมก็พยายามคิดและทำตามเสมอ คนที่มาเรียนวิชชาด้วย ร้อยคนดีสักห้าสิบก็เสมอตัวแล้ว อีกห้าสิบที่ไม่ดี ถึงเวลาเขาคิดได้เอง ถ้าคิดไม่ได้ก็แล้วแต่กรรม ฉนั้นท่านทั้งหลายจงตั่งใจเป็นกลางไว้อย่างนี้ เรามีหน้าที่เป็นครูเป็นอาจารย์ก็มีหน้าที่บอกและแนะนำกันไปตามหน้าที่ และหน้าที่เราเป็นครูก็ควรทำใจให้หนักแน่นให้สมกับคำว่าครู ที่แปลว่าหนัก จงยินดีเมื่อเขาได้ดี จงส่งเสริมเมื่อเขาก้าวหน้า จงวางเฉยเมื่อเขาเณรคุณ....มนุษย์มีกรรมเป็นสมบัติของตนเองและมีผลที่ต้องรับเองแล ไม่จำเป็นต้องไปผูกเวลกรรมต่อกันเพิ่ม คนปลูกมะม่วง ออกลูกเป็นถั่วงอกคงไม่มี....สาธุๆๆ




ประสิทธิ์ ปาปะแพ
29 ธันวาคม 2015 · 
ความเจริญแห่งการกระทำทั้งหลาย เริ่มจากความเจริญภายในใจตนด้วยความคิดดีแล้ว นั้นเอง



ประสิทธิ์ ปาปะแพ
29 ธันวาคม 2015 · 
กรรมสามารถเกิดได้สามทาง หนึ่งทางกาย สองทางวาจา สามทางใจ
การที่บุคคลๆหนึ่งกระทำคุณความดี เช่นพิธีกรรมบวงสวงบูชา (จัดอยู่ในมงคล38ประการ ปูชาจะปูชะนียานังเอตัมมังคะละมุตตะมัง บูชาบุคคลที่ควรบูชา มีพระรัตนตรับ บิดามารดา ครู เป็นต้นจัดเป็นมงคลคือความดี)
จึงตั่งปรารถนาดีแผ่เมตตาบอกกล่าวแก่ผู้มีจิตศรัทธา ได้ร่วมยินดีโมทนา การที่บุคคลมีศรัทธาตั่งมั่นด้วยมุทิตาจิต ความพลอยยินดีในสิ่งที่บุคคลอื่นทำความดี นี้ก็เป็นกุศลจิต เป็นกรรมกุศลฝ่ายดี การที่บุคลตั่งจิตโมทนาบุญร่วมยินดีในการกระทำนั้นๆอันเป็น นิมิตอันดีคือ ได้ทัศนาความเป็นมงคลของบุคคลอื่นแล้วร่วมยินดี ก็เป็นกุศลกรรมฝ่ายดี จัดอยู่ในกุศลกรรมบทสิบประการ คือความพลอยยินดีโมทนาบุญในความดีที่บุคคลอื่นกระทำ
ฉนั้นจิตที่ชื่นชมยินดีในความดีของบุคคลอื่นด้วยใจที่เปี่ยมด้วยกุศลย่อมเป็นผลบุญให้ตนเองสุขใจตามแต่สติปัญญา
ส่วนจิตคิดอิจฉาริสยาย่อมปิดบังความดีตน พิจจารนาไม่เห็นธรรม แม้คนกราบต้นไม้ถ้าทำแล้วไม่เป็นกรรมเลวเบียดเบียนใคร ก็ดีเสียกว่าคนอยู่ในศีลแต่ขาดปัญญาในการกระทำความดี ฉนั่นความดีมีให้ทำหลายๆทางและหลายระดับ อย่างนี้แล สาธุๆๆ



ประสิทธิ์ ปาปะแพ
26 ธันวาคม 2015 · 
ความทุกข์ เป็นข้อสอบวัดความดีตน..!


เอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่๒

เอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่๒



ประสิทธิ์ ปาปะแพ
14 ตุลาคม 2014 · 
ความเป็นทาศ ที่เป็นทุกข์มากที่สุดคือ ความเป็นทาศความคิดตนเอง
ผู้ฝึกตนเองได้ด้วยดี ย่อมพ้นจากความเป็นทาศ เขาย่อมไม่เป็นทุกข์เพราะความคิดตน อย่างนี้..



ประสิทธิ์ ปาปะแพ
14 ตุลาคม 2014 · 
คนที่เพ่งมองเหตุของปัญหาภายนอก และ แก้ปัญหาภายนอก เขาจะไม่มีทางแก้ปัญหานั้นๆให้ถูกต้องได้เลย เพราะเหตุต้นที่แท้จริงมันคือกิเลสที่เป็นความคิดภายในใจตน คนที่ถูกกล่าวร้ายด้วยคำด่าทอ ผู้ที่เห็นเหตุภายนอก เขาจะคิดว่าไอ้คนที่มาด่าเราเป็นเหตุ จึงเพ่งโทษไปที่คนด่า ถ้าไม่มีคนด่าเราจะไม่โกรธจะไม่ทุกข์จึงพูดและกระทำไม่ดีตอบ จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะแพ้หรือพินาศไป ส่วนคนที่เห็นเหตุภายใน เมื่อมีคนด่า เขาจะรีบเพ่งมาที่ตน แก้ความโกรธของตนให้อ่อนกำลังลงและหายไป เพราะเขารู้ด้วยสติปัญญาว่า ตัวความโกรธเป็นต้นเหตุที่แท้จริง ที่ทำให้ตนเป็นทุกข์ และจะเป็นปัญหาให้เกิดปัญหาอื่นๆอีกมากมายตามมา คนที่แก้ใจตนได้เขาย่อมไม่ทุกข์ร้อนและทำให้คนอื่นเดือดร้อน หากเราฝึกพิจจารณาและทำใจได้อย่างนี้เสมอๆ ก็เรียกได้ว่าเราเป็นนายตนเองได้และใช้ตนเองเป็น ไม่เป็นทาศความคิด ความรู้สึก อยู่ร่ำไป....ความโกรธท่านเปรียบเหมือนกองไฟ ที่ร้อนแรงสามารถทำลายทุกอย่างให้มอดใหม้ได้ ส่วนความพยาบาทที่ร้อนระอุอยู่ภายในใจ ท่านเปรียบเหมือนไฟใหม้ตอไม้ผุ ข้างนอกตออาจไม่เป็นไรแต่ภายในตอที่ไฟไหม้ ก็รอเวลาที่จะแสดงตัวออกมาอยู่นั่นเอง มีคำหนึ่งที่พระอาจารย์ชูท่านอุปมาไว้ในเรื่องความโกรธ ท่านว่ามันเหมือนก้านไม้ขีดไฟ เมื่อมันจุดตัวขึ้น ก่อนที่มันจะไหม้ทำลายสิ่งอื่นให้วอดวาย มันก็ได้จุดไฟเผาตัวเองอยู่ อย่างนี้โดยแท้ ความโกรธก็เช่นกันแม้มันไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน แต่มันก็ทำให้ตนเองร้อนใจอยู่นั่นเอง....สาธุๆ



ประสิทธิ์ ปาปะแพ
14 ตุลาคม 2014 · 
สิ่งที่เรามองข้าม คือหญ้าปากคอก ..คาถาจะขลังมากขลังน้อยมันเริ่มตั่งแต่การตั่งนะโม..
เรื่องกำเนิดนโม
ในจารีตและประเพณีของพระพุทธศาสนาทั้งในอดีตที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน แม้ในอนาคตก็คงเป็นเช่นกัน ในการประกอบศาสนพิธีหรือกิจการที่เป็นมงคลพุทธศาสนิกชน จะเป็นส่วนรวมหรือส่วนย่อย เป็นปัจเจกบุคคลก็ตาม มีนิยมว่า นโมก่อน โดยมากใช้คำว่า ตั้งนโมก่อน
คำว่า ตั้ง มีความหมายสำคัญมาก คือ ทรงไว้หรือดำรงไว้ มาจากมูลรากศัพท์คือ “ฐา” ธาตุในความตั้ง ฉะนั้น การตั้งนโม จึงมีความหมายว่า ให้เกิดความมั่นคง ดำรงไว้ซึ่งความดีงาม แห่งพิธีหรือกิจการนั้น ๆ
นโมตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ แปลว่า ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ พระอนุตตระสัมมาสัมโพธิญาณ ด้วยดีโดยชอบพระองค์นั้น ในคัมภีร์สารัตถสมุจจัย อรรถกถาภาณวาร พระอรรถกถาจารย์ ได้แสดงไว้เป็นตำนานเล่าขานสืบมาว่า มีเรื่องเล่าว่า กาลครั้งหนึ่ง เทวดาและอสูรรวมห้าตนด้วยกัน ได้พากันเข้าเฝ้าถวายนมัสการ แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ณ ที่ประทับ แล้วได้เปล่งวาจาตน ละ วาระถวายความเคารพดังนี้
สาตาคิรายักษ์ ว่า นโม
อสุรินทราหู ว่า ตัสสะ
ท้าวมหาราช ว่า ภควโต
ท้าวสักกะ ว่า อรหโต
ท้าวมหาพรหม ว่า สัมมาสัมพุทธัสสะ
แต่ละตนเปล่งวาจาออกมาล้วนแต่เป็นคำนอบน้อมทั้งนั้น มารวมกันตนละคำเขาแล้ว เป็น นโมตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ท้าวมหาราชมี ๔ ตน ประจำทิศทั้ง ๔ คือ ปุริมทิศ เป็นบัวรพาตะวันออก ท้าวธตรัฎฐะประจำ ทักขิณทิศ เป็นทิศใต้ ท้าววิรุฬหะกะอยู่ประจำ ปัจฉิมทิศ เป็นทิศตะวันตก ท้าววิรุปักขา อยู่ประจำอุตรทิศ เป็นทิศอุดร (เหนือ) ท้าวกุเวร อยู่ประจำ
เพื่อให้มีความจำง่ายขึ้นมีคาถาว่า
นะโม สาตาคิริยักโข ตัสสะ จะ อะสุรินทะโก ภะคะวะโต
มะหาราชา สักโก อะระโต ตะถา สัมมาสัมพุทธัสสะ
มะหาพรหมา ปัญจะ เอเต นะมัสสะเร
นะโม แปลว่า ความนอบน้อม หมายถึง จริยา ความประพฤติ คือ การแสดงออกทางกายทางวาจา และทางใจ โบราณท่านสอนเตือนใจไว้ว่า บวชเป็นเณรให้รู้จัก นะ บวชเป็นพระให้รู้จัก โม รวมความว่า นะโม
นะ หมายถึง น้ำ เป็นเครื่องหมายคุณของแม่ โม หมายถึง ดิน เป็นเครื่องหมายคุณของพ่อ บุคคลใดก็ตาม เมื่อมีจริยา มีนโมเป็นพื้นฐาน คือ มี ความประพฤติทางกาย มีความประพฤติทางวาจา และทางใจ นอบน้อมต่อผู้อื่น นอบน้อมต่อตนเอง หรือต่อสิ่งอื่น ๆ แล้ว บุคคลผู้นั้นได้ชื่อว่า เป็นคนมี นโม แม้จะทำการใดๆ จะยากหรือง่าย ก็ย่อมประสบผลสำเร็จ หรือเมื่อตกทุกข์ได้ยากลำบากทรมานหนักหนาสักปานใด ก็ย่อมได้รับความเมตตา ความกรุณา มุทิตา และอุเบกขาธรรม ให้การช่วยเหลือ ให้พ้นทุกข์พ้นยากพ้นจากความลำบากทรมานนั้น ๆ


ประสิทธิ์ ปาปะแพ
15 ตุลาคม 2014 · 
ฉนั้นพระอาจารย์ชูท่านสอนผมในเรื่องการตั่งจิต ในการเริ่มทำการงานทุกอย่าง ถ้าเราตั่งจิตได้ดีตั่งแต่เริ่ม กิจทุกอย่างที่เราทำมันจะดีตั่งแต่เริ่มทำ การตั่งนะโมก็คือการตั่งธาตุนั่นเอง นะคือธาตุน้ำ โมคือธาตุดิน หรือหมายถึงความนอบน้อม เมื่อเราจะทำความนอบน้อมก็ให้ตั่งใจจริงตั่งแต่เริ่มกล่าวนะโม ในการใช้พระคาถาจะมีอานุภาพมากกว่าการที่เรา กล่าวนะโมสามจบแบบผ่านๆ ยิ่งผู้ปฏิบัตหากเอาคำกล่าวสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้าเหล่านี้มาใช้ในการปฏิบัติ เทวดาผู้ที่ท่านกล่าวคำเหล่านี้ไว้จะมาอวยชัยให้เราทำการนั้นๆได้สำเร็จตามเจตนาทุกประการ หลวงพ่อธรรมบาลที่เป็นพระอาจารย์ใหญ่ของพระอาจารย์ชูท่านจะสอนในเรื่องการตั่งธาตุอธิฐานจิต ซึ่งหากผู้ใดฝึกและทำได้ก็สามารถสื่อกับเทวดาได้ให้เทวดาช้วยตามที่เราได้อธิฐานจิต อยากมีลาภการเงินดีก็อธิฐานเอาเทวดาก็จะช้วย แต่เราต้องฝึกให้ได้ตามขั้นที่หลวงพ่อท่านสอนในการกำหนดธาตุในกาย ถ้าอยากได้เงินก็เอาจิตไปไว้ฐานดินแล้วอธิฐานเอา



ประสิทธิ์ ปาปะแพ
21 ตุลาคม 2014 · 
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา กายในกายหนึ่งเดี่ยวนี้ ย่อมทำให้เหล่า สัตว์พันทุกข์ ทั้งปวง…ถึงบรรลุอริยมรรค เห็นแจ้งพระนิพาน
ผู้ที่ปฏิบัติไม่ได้โดยแท้ คือ ผู้ที่ปากไม่ตรงกับใจ ไร้สัจจะ
เปรียบดั่งเป็นหมันมาแต่กำเนิด ยังไง “บุญก็ไม่เกิด ” ทำอะรัยก็ไม่สำเร็จ เพราะ “สิ่งทั้งหลายย่อมสำเร็จได้ด้วยใจ ‘
พระธรรมบาล ( จิตตภาวันวิทยาลัย เมืองพัทยา )



ประสิทธิ์ ปาปะแพ
22 ตุลาคม 2014 · 
คำสอนของพระอาจารย์ใหญ่ หลวงพ่อธรรมบาล
ทาน ศีล ภาวนา ขยายความเป็นพิเศษ
วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖
ที่ได้กล่าวผ่านมา เรื่องการถึงพร้อมด้วยทาน ศีล ภาวนา ก็จะขอขยายความเป็นพิเศษ สำหรับผู้ที่อยู่ต่างประเทศและห่างไกลวัดห่างพระสงฆ์องค์เจ้า จะได้เข้าใจ และปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ใครที่ใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ จะทราบดีว่าเราจะเคารพและศรัทธาพระสงฆ์มาก ๆ ประเพณีวัฒนธรรมไทย งานไหนงานนั้นส่วนใหญ่เรามักไม่ขาดและแน่นอนที่สุด ก็เจอกันที่วัดน่ะแหละ แน่ ๆ ก็เสาร์อาทิตย์เป็นหลัก ทีนี้บางคนก็อยู่ต่างรัฐ ต่างเมือง ซึ่งเป็นที่ไม่มีวัดไม่มีพระ และโดยเฉพาะแบก Job ไม่มีเวลา ก็เลยคิดว่าตัวเองเป็นคนบาป ไม่เคยรับศีล ไม่ได้ทำบุญ ชีวิตนี้คงหาความสุขความสบายกับเขาไม่ได้ เลยกินไม่ได้นอนไม่หลับ คิดกลัวว่าจะไม่ได้บุญ เพราะไม่ได้ไปวัด ไม่ได้ไปรับศีลจากพระ อย่างนี้ซะเป็นส่วนใหญ่ จริงไหม นี่คือสาเหตุที่ต้องนำมาวิสัชนากันให้กระจ่าง เรื่อง “ศีล” ความจริงแล้ว ศีลไม่ใช่ต้องไปรับที่พระ เพราะบางที (เอาเป็นว่าตรงนี้ละไว้เป็นที่รู้ละกัน….!!!!)
ศีลตามพุทธพจน์ที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนและบัญญัติไว้ในพระไตรปิฎกเป็นหลักฐานนั้น อยู่ที่การ “ปฏิบัติ”ไม่ใช่อยู่ที่การจะต้องไป “รับศีลจากพระ จึงจะเรียกว่าคนมีศีล”
ศีล จะแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ ๑.ศีลสำหรับกายนอก คือ กายสังขาร ที่เป็นเรานี่แหละมีรูปร่างหน้าตา หายใจได้ นี้จะมีศีล เช่น ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๒๒๗ (อันนี้ของพระ) ศีลเหล่านี้มีไว้เป็นวินัยหรือข้อบังคับ จะเรียกว่ากฎเกณฑ์ของสังคม ไม่ให้มีการล่วงละเมิดสิทธิ หรือ ชีวิตของสัตว์ร่วมโลก ใช้บังคับภายนอกเหมือนกฎจราจร คนขับต้องรู้ และปฏิบัติตามไม่งั้นโดนตั๋ว หัวใจ ของศีลแห่งกายนอก คือ “สัจจะ”คือ คำเปล่งวาจาสมาทานรับศีล เช่น มะยังภันเตวิสุง ๆ…. เป็นต้น นี้ต้องออกมาจากใจ เพราะ 99.99% รับศีลจากพระยังไม่พ้นสายตา ศีลขาดกระจุย เพราะไม่มีสัจจะที่จะรักษาศีล ดังนั้นท่านจึงถือว่า สัจจะเป็นหัวใจแห่งศีลของกายนอก ทั้งยังเป็นก้าวแรกขององค์มรรค ที่จะเปิดเส้นทางไปสู่การหลุดพ้นคือพระนิพพาน เส้นทางนั้นเรียกภาษาบาลีว่า มรรคสัจจะ คือหนทางแห่งความจริงแท้ ๒.ศีลสำหรับกายในกาย (อย่างที่เราปฏิบัติสติปัฏฐาน – ปฏิสัมภิทามรรค) อยู่ในข้อแรกนั่นแหละ กายในกายเหมือนคนขับรถต้องมีจรรยาบรรณ ไม่ใช่ขับปาดหน้า เฉี่ยวชาวบ้าน แต่งท่อให้เสียงดัง (กลัวคนจะไม่ด่า) อย่างนี้ไม่ใช่กฎของจราจร แต่เป็นเรื่องของสันดานคนขับ หรือเรียกว่าจรรยาบรรณ เฉกเช่นเดียวกันศีลของกายในนั้น มี
อยู่ ๕ ข้อ เหมือนกันคือ
๑.“สติ”คือ การระลึกรู้อารมณ์ + อัสสาสะ (ลมหายใจเข้า) + ปัสสาสะ (ลมหายใจออก) +นิมิต (ซึ่งเป็นวิถีแห่งสติปัฏฐาน ที่เราได้ปฏิบัติกันอยู่นี้แหละ)นี้เป็นองค์แห่งมรรค เรียกว่า สัมมาสติ
๒. “วิริยะ”คือ ความเพียรรักษาอารมณ์ + นิมิต + อัสสาสะ + ปัสสาสะ นี้เป้นองค์มรรคที่สอง เรียกว่า สัมมาวายาโม
๓. “สมาธิ”คือ การถึงพร้อมเป็นหนึ่งเดียวแห่งกาย วาจา ใจ ในนิมิต + อารมณ์ + อัสสาสะ + ปัสสาสะ นี้เป็นองค์แห่งมรรคที่สาม เรียกว่า สัมมาสมาธิ
๔. “ปัญญา”คือ ความฉลาดรู้ในการแปรเปลี่ยนนิมิตได้ตามปรารถนา โดยมนสิการ นี้เป็นองค์มรรคที่สี่ เรียกว่า สัมมาทิฐิ
๕. “วิตก”ระลึกโดยเข้าถึง สภาวะแห่งสรรพสิ่งทั้งหลายด้วยมโนทวารวิถี แห่งความเกิดขึ้น (อุปาทะ) ตั้งอยู่ (ฐิติ) ดับไป (ภังคะ) ในสภาวะแห่งรูปาวจร (อันนี้ละเอียดมาก ต้องมาอบรมถึงจะเข้าใจ จึงไม่ขอเขียนเพราะจะไม่เข้าใจหากอ่าน) นี้เป็นองค์มรรคที่ห้า เรียกว่า สัมมาสังกัปโป
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น จะเห็นได้ว่า ศีล นั้นอยู่ที่เราประพฤติปฏิบัติ และรักษา ไม่ใช่ต้องไปขอมาจากพระสงฆ์ถึงจะเรียกว่า “ศีล”จึงต้องเข้าใจให้ถูกต้อง หนทางที่จะเข้าถึงสุดยอดแห่งอมฤตธรรม คือ พระนิพพานก็โดยการเดินไปบนเส้นทางแห่งความจริงแท้ เรียกว่า “มรรคสัจจะ”ซึ่งมี ๘ ขั้นตอน หรือ ๘ ไมล์ ตามที่อธิบายข้างต้น หากทำตามนี้เราก็ได้ไปแล้ว ๕ ไมล์ เหลืออีก ๓ ไมล์ เท่านั้น ก็จะถึงจุดหมาย นี่แหละ ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าเทพยดาอารักษ์ โอปปาติกะทั้งหลาย เมื่อได้รับกระแสแห่งการปฏิบัติสติปัฏฐาน – ปฏิสัมภิทามรรค จึงอยู่ไม่ได้ ต้องมาคอยดูแลปกปักรักษา ดังที่ได้กล่าวมาโดยตลอดนั้น สิ่งที่ต้องย้ำกันให้เข้าใจ และเข้าใจจริง ๆ ไม่ไขว้เขว ก็คือ เมื่อใดก็ตามที่ได้ยินคำว่า “มรรค”ขอให้รู้ไว้เลยว่า จะทำได้ทางเดียวเท่านั้นคือ ทำด้วย “ใจ”เท่านั้น คือ มรรค หรือหนทางไปพระนิพพานไปด้วยกายในกาย คือ ใจ ไม่มีทางอื่นใดนอกจากสติปัฏฐาน
แต่ก็มีนักวิชาการที่ไม่เข้าใจในพุทธศาสนา พยายามจะแปลให้เป็นไปทางโลก เช่น สัมมาอาชีวะ คือ การประกอบอาชีพชอบ ถามว่า พระประกอบอาชีพอะไร สร้างโบสถ์มีใต้ถุนให้คนรอดเพื่อเก็บตังค์ หรือว่า สร้างเหรียญจตุคามเอาเงินมาเล่นหุ้น ซึ่งมันไม่ใช่ มันไม่ใช่ มรรค เป็นเส้นทางที่ผู้จะไป ต้องเดินไปด้วย “กายในกาย”หรือ “ใจ”ถ้าเป็นทางอภิธรรมเรียกว่า “เจตสิก”เท่านั้น และต้องเข้าสู่วิถีมิติแห่งใจ เรียกว่า “มโนทวารวิถี”ผ่านเลยการรับรู้สัมผัสของกายสังขาร (กายเนื้อ กายนอก) ซึ่งภาษาปฏิบัติเรียกว่า “ปัญจทวารวิถี”โดยสิ้นเชิง

ดังนั้นผู้ที่อยู่ต่างประเทศ และใฝ่ในการปฏิบัติ ไม่ต้องน้อยใจว่าไม่มีพระสงฆ์ให้ขอศีล ไม่ต้องห่วงว่าจะต้องขับรถไปวัดเป็นร้อยไมล์เพื่อไปทำบุญ ต่อไปนี้ ขอศีลกับพระพุทธรูปในห้องเรา รักษาสัจจะ นั่นคือหัวใจศีล แล้วปฏิบัติตามขั้นตอน นี่แหละเรียกว่า “ผู้มีศีล”สำหรับคำว่า “ผู้ทรงศีล”คำว่า ทรง แปลว่า รักษา แต่ส่วนใหญ่จะเข้าใจว่า ผู้ทรงศีล แปลว่า พระ ซึ่งจริงแล้วไม่ใช่ ว่ากันตามศัพท์นะ ใครที่รักษาศีลอย่างมั่นคง ผู้นั้นเรียกว่าผู้ทรงศีล และศีลมีอยู่ในใจของเราทุกคน เริ่มต้นที่ “สัจจะ”เพราะมีสัจจะ จึงจะอธิษฐานได้
อธิษฐาน ตามพระบาลีมีอรรถคาถาอธิบายว่า อธิษฐานคือบุญ ที่ก่อให้เกิดความสำเร็จ สมปรารถนา แก่มนุษย์และเทวดา และบุญนี้ถูกเก็บไว้ในทุกครั้งที่เราได้ทำโดยการถึงพร้อมด้วย กาย วาจา ใจ โดยจะเก็บไว้ใน“บุญนิธิ”อ่านว่า บุน– ยะ – นิ – ธิ แปลว่า “ธนาคารบุญ” เราจึงเบิกเอามาใช้ได้ ซึ่งจะได้กล่าววิธีการเบิกบุญมาใช้ ในวันพรุ่งนี้
ขอความก้าวหน้าผาสุก สนุกกับการปฏิบัติ เจริญวิวัฒน์ด้วยลาภผล สิ่งใดในสากลอันเป็นกุศลและปรารถนา จงได้มาโดยพลันทุกท่าน ทุกประการเทอญ…. เจริญพร





ประสิทธิ์ ปาปะแพ
22 ตุลาคม 2014 · 
ครูผู้สอนเราได้ดีที่สุด คือ การกระทำเราเองโดยแท้
เราจะรู้ผิดรู้ถูก เพราะการกระทำตน ผู้เป็นปัญญาชน ย่อมรู้ละผิด ทำถูกให้เจริญ ไม่มีคนใหนเลยที่ทำถูกทุกอย่างเพราะความรู้ถูกเพียงอย่างเดียว ฉนั้นผู้ลงมือกระทำย่อมเป็นผู้ฉลาดในความรู้ทั้งสองสิ่งโดยแท้...



ประสิทธิ์ ปาปะแพ
22 ตุลาคม 2014 · 
ผู้เป็นบัณฑิตชน เขาจะไม่มัวทุกร้อนเพราะความผิดตน แต่จะแยบคายในความผิดนั้น เพื่อให้ถึงความเจริญในความถูกทั้งมวล...



ประสิทธิ์ ปาปะแพ
24 ตุลาคม 2014 · 
การใช้ชีวิตคู่ ก็เหมือนกับการพายเรือ
ต้องช้วยกันพายถึงจะไปรอด การเข้าอกเข้าใจกันจึงสำคัญ เพราะมันจะช้วยปรับให้คนสองคนไปด้วยกันได้ แต่การเอาแต่ใจตน เป็นสิ่งทำให้เรื่องแม้เล็กๆกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้...




ประสิทธิ์ ปาปะแพ
24 ตุลาคม 2014 · 
๓. ปัจฉิมทิส คือทิศเบื้องหลัง ภรรยา สามีพึงบำรุงด้วยสถาน ๕
(๑) ด้วยยกย่องนับถือว่าเป็นภรรยา.
(๒) ด้วยไม่ดูหมิ่น.
(๓) ด้วยไม่ประพฤติล่วงใจ.
(๔) ด้วยมอบความเป็นใหญ่ให้.
(๕) ด้วยให้เครื่องแต่งตัว.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๐๔.
ภรรยาได้รับบำรุงฉะนี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์สามีด้วยสถาน ๕
(๑) จัดการงานดี.
(๒) สงเคราะห์คนข้างเคียงของผัวดี.
(๓) ไม่ประพฤติล่วงใจผัว.
(๔) รักษาทรัพย์ที่ผัวหามาได้ไว้.
(๕) ขยันไม่เกียจคร้านในกิจการทั้งปวง.
ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๐๔.
หน้าที่ที่สามีภรรยาจะพึงปฎิบัติต่อกัน




ประสิทธิ์ ปาปะแพ
24 ตุลาคม 2014 · 
คนโดยมากมักมองหาแต่อาจารย์เก่ง. แต่ไม่ได้มองหาอาจารย์ที่จะสอนให้ตนเก่ง. คนที่มองหาแต่คนเก่งก็จะมองหาแต่ความเก่งของอาจารย์ คนใหนที่เขาใจว่าไม่เก่งก็จะมองข้าม. จึงเก่งอย่างอาจารย์ได้ยาก. ส่วนคนที่หาคนสอนให้ตนเก่งเขาจะเก็บรายละเอียดทุกอย่างที่ครูสอนทุกคน. คนอย่างนี้จึงเก่งกว่าครูสอน...



ประสิทธิ์ ปาปะแพ
31 ตุลาคม 2014 · 
การเป็นครูคนใครก็เป็นได้ แต่เป็นยังไงตรงนี้สำคัญยิ่ง
ความเป็นครูสอนคน มันไม่ได้สำคัญตรงทำอย่างไร ตนเองจะเก่งในวิชชาแล้วทำให้เขาศรัทธาตนมากๆ หากแต่สำคัญตรงที่ทำอย่างไรเราจะดีพอที่จะทำหน้าที่ครูได้อย่างสมบูรณ์ แนะนำศิษย์ไห้เจริญในวิชชาและนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างสูงสุด ต่างหาก....
ขอน้อบน้อมพระคุณพระอาจารย์ที่อบรมศิษย์คนนี้ที่ไม่เอาถ่าน มาโดยตลอดผมก็จะเจริญรอยตามความเป็นครูตามรอยพระอาจารย์ให้ได้สุดกำลัง สาธุๆๆ




เอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่๑

เอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่๑




7 มิถุนายน 2014 · 
คนหลงดีก็จะทุกข์เพราะคนอื่น เห็นคนอื่นทำไม่ถูกไม่ดีก็ร้อนใจ ... ส่วนคนที่ดูตนเองย่อมไม่เดือดร้อนเพราะอารมณ์ภายนอก ใจย่อมเป็นสุขเพราะคอยรู้ตน..


14 มิถุนายน 2014 · 
คนเราต่างก็มีสักยภาพเสมอกัน อยู่ที่ใครจะนำมันออกมาใช้ได้มากน้ อยกว่ากันเท่านั้นเอง...ไม่มีใครเก่งเกินกัน...ส่วนคุณนั้นเป็นสิ่งที่ให้ระลึกถึงกันตามฐานะ..!



ประสิทธิ์ ปาปะแพ
14 มิถุนายน 2014 · 
ครูฉันไม่เลื่องชื่อ แต่ท่านเลื่องลือชื่อกังวาลในใจฉัน...


ประสิทธิ์ ปาปะแพ
18 มิถุนายน 2014 · 
ความเป็นครูนั้น เรามีหน้าที่สอนในตำหรับตำราที่ ตนมีใหได้้ตามกำลัง ด้วยความรับผิดชอบและอุ้มชูอย่างจริงใจ ส่วนความกตัญญูรู้คุณนั้นเป็นหน้าที่ๆศิษย์จะพึงปฏิบัติต่อครู หากเขาไม่มีแล้ว ก็ไม่ใช่หน้าที่ครูจะไปเรียกร้องหา เมื่อเราสำนึกในความเป็นครูที่มีความหมายว่าหนัก จึงเป็นความจริงอยู่แล้วว่า ครูต้องพร้อมเสียสละในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเจอศิษย์ดีหรือไม่ดีก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ต้องฝึกให้ได้คือรู้จักวางเฉยเสีย......แต่ไม่ใช่เฉยเมย!



ประสิทธิ์ ปาปะแพ
19 มิถุนายน 2014 · 
โอมติบนวดกอดจันทร์ทาน้ำมันให้ผมกล่อง ส่องๆหน้าให้สาวมักกูเด้อ สาวบ่มักให้ผีผลักผีพอย สาวบ่เห็นหน้ากูละเล็กละน้อยให้สาวแล่นมาหากูเด้อ โอมสะโหมติเสกติ...
บทนี้เรียนคาถาปลุกนวดผีตายโหง ใช้ป้ายติดชายผ้า หรือสีปาก เป็นมหาเสน่ห์ วิธีทำให้ตั่งขันครูและเครื่องครู ให้พร้อม ในนั้นก็จะมีถ่านไฟผีตายโหง ต้องเผาวันอังคาร มาทำเป็นก่อนเส้าสามเส้า เวลาหุงนวดให้ทำตอนกลางคืนดึกสง ัดห้ามให้ใครเห็นตรงบ่อน้ำที่ชาวบ้านมาตักน้ำกิ น และพิธีทำอีกอย่างอื่นไม่ขอบอก..ที่บอกไว้เพื่อเป็นวิทยาทานความรู้ว่าตำราเหล่านี้มีอยู่จริงและการทำ ก็ทำยากเครื่องครูที่มาผสมก็หายาก การถือข้อห้ามก็ยาก เอามาใช้ได้ผลมากมาย อยากได้ใครเอาขี้ผึ้งไปป้ายไว้ท ี่ชายเสื้อ เขาใส่เมื่อไหร่มาหาเราเมื่อนั้ น ทีนี้จะมีเมียกี่คนก็ได้ แต่พิจจารนาดีๆแล้วมันก็ไม่พ้นการผูกเวลกับคนหลายๆคน พระพุทธเจ้าสอนให้เราเว้นจากการประพฤติผิดในกาม การที่เรามีผู้หญิงหลายคนด้วยการบังคับเขาด้วยขอ งอาถรรย์ ไม่ต่างจากการขืนใจเขาหรอก ที่ไปข้างหน้าก็คงไม่พ้นนรก เมื่อวายชนแล้ว เกืดมาก็ต้องมาเป็นกระเทยอีก เป็นผู้หญิงก็ต้องถูกเขากระทำคืน ผูกเวลกันอย่างนี้ ถ้าศึกษาเรื่องธรรมมะแล้วใจมันหดหู่เลยไม่กล้า เมื่อก่อนผมเรียนใหม่ๆคิดว่าต้อ ง มีเมียเป็นอาระบั้ม แต่พอได้เรียนเรื่องกรรมมันก็ไม่กล้าทำ จึงไม่สนับสนุนคนอื่นด้วย ถ้าอยากได้เงินเห็นแก่เงินก็รับทำเรื่องพวกนี้รวยสบาย แต่ความละอายและเกรงกลัวบาปมันม ีมากกว่าอยากได้เงิน ก็ฝากเป็นข้อเตือนใจแก่ผู้ต้องการเรื่องนี้ แต่ผมคิดว่าคงไม่มีในนะที่นี้....








ประสิทธิ์ ปาปะแพ
21 มิถุนายน 2014 · 
เกร็ดในการใช้ตะกรุดและคาถา
สำหรับผู้ที่ได้เช่าบูชาตะกรุดผมไปนั้น ผมก็ได้ให้คาถาปลุกไปไว้ใช้ในการปลุ กเสกตะกรุดให้มีความเข้มขลังยิ่ งๆขึ้น ฉนั้นก็ให้หมั่นปลุกเสกนะครับถ้าเรายิ่ งปลุกเสกประจำจะกี่จบก็ได้มากยิ่งดีจะทำให้มีความขลังม ากขึ้น รวมทั้งพระคาถาบทต่างๆที่ผมได้ โพส หรือมอบให้เจาะจงก็ดีเมื่อนำไปท่องจำแล้วก็ให้หมั่นสวดภาวนามากๆเพื่อคาถาจ ะได้เข้มขลังมากๆ คนใดใส่ใจไม่ละเลยก็จะประสบผลได้ตามต้องการ เหมือนการที่เรามีมีดหากเก็บไว้ในฝักเฉยๆนานวันมันก็ขึ้นสนิม เครื่องรางและคาถาเหมือนกันท่าน จึงทีบทปลุกเลขยันต์เครื่องรางไว้ให้เราได้นำมาปลุก มาเสกของๆตนให้เข้มขลัง ..หลวงพ่อท่านสอนไว้ คาถาให้หมั่นท่องหมั่นใช้มันจึง ดี แม้มีแล้วไม่ระลึกมันก็เสื่อม เรื่องเก่าไม่เล่ามันก็ลืม.....!



ประสิทธิ์ ปาปะแพ
29 มิถุนายน 2014 · 
เรียนภาษาจำได้รู้หลักมันก็ทำ ได้
เรียนคาถาท่องได้จำได้มันก็ทำ ได้
เรียนเลขยันต์มีแบบรู้วิธีมันก็ทำ ได้
แต่จะทำให้เป็นและถูกต้องมันฝึกจิตด้วย อย่างถูกต้องจึงไม่ใช่เรื่องวันสองวันม ันจะเก่ง เพราะจิตฝึกยากบังคับยาก และมันไม่ใช่เรื่องการท่องจำ แต่เป็นเรื่องความรู้ใจตน....




ประสิทธิ์ ปาปะแพ
4 กรกฎาคม 2014 · 
ไม่รู้สึกแปลกใจเลยว่าทำไม กว่าจะได้เล่าเรียนตำรากับครูแต่ละท่านนั้นต้องแลกมาด้วยความ เหนื่อยยากลำบาก กว่าท่านจะเมตตาสอนสั่ง เพราะท่านอยากให้เราเห็นถึงความสำคัญในการเล่าเรียน และสอนให้เรารู้หน้าที่ตนที่ดีที่จะประพฤติต่อครู อันจะนำความเจริญมาสูตนที่ประพฤตินั่นเอง เพราะสิ่งใดที่ได้มาโดยง่าย โดยมากแล้วมันมักไม่สำคัญในจิตใจ ของบุคคลนั้นเลย....






ประสิทธิ์ ปาปะแพ
4 กันยายน 2014 · 
ในวัฏฏะสงสารการเวียนเกิดเวียนตายนี้ ไม่มีใครเก่งกว่าใครหรอก. มีแต่คนมีเวรกับคนมีเวร. จองเวรผูกเวรกัน. เท่านั้น. เครื่องรางเป็นเพียงเครื่องยึดเหนียวทางจิตใจอย่างหนึ่งเท่านั้น. เพื่อให้ได้ระลึกถึงคุณความดีของตนนั้นๆ. ต่อเมื่อถึงคราวต้องใช้เวรแล้ว. เก่งแค่ใหนก็หนีไม่พ้นสักคน...




ประสิทธิ์ ปาปะแพ
27 กันยายน 2014 · 
ไม่มีใครทำให้เราเป็นสุขหรือทุกข์เท่า ตนเองทำตนเอง.....คำสอนของพระอาจารย์ชู



ประสิทธิ์ ปาปะแพ
10 ตุลาคม 2014 · 
ภูเขาที่ตั่งตระหง่านอย่างมั่นคงไม่หวั่นไหวเพราะแรงลมฉันใด. จิตก็ควรฝึกให้ตั่งมั่นได้อย่างนั้น. ไม่หวั่นไหวเพราะโลกธรรมทั้งแปด...




ประสิทธิ์ ปาปะแพ
10 ตุลาคม 2014 · 
บุคคลผู้หวาดหวั่นต่อมัจจุราชคือความตาย. เขาย่อมตายเพราะความหวาดหวั่นนั้น. แต่ผู้รู้ถึงความธรรมดาแห่งมัจจุราชคือความตาย เขาย่อมไม่หวาดหวั่น. จึงเป็นผู้ไม่ตายเพราะความหวาดหวั่นนั้น. จิตเขาย่อมเป็นสุขเพราะความไม่หวาดหวั่น. ย่อมบันเทิงแม้มัจจุราชมาอยู่ต่อหน้า. เห็นจริงอย่างนี้แล้วควรพิจจารนาถึงความตายเป็นนิจเถิด.....




ประสิทธิ์ ปาปะแพ
11 ตุลาคม 2014 · 
ถ้าไม่มีศรัตรู เราจะไม่รู้กำลังตนเองเลย ผีชั้นต่ำและเดรัจฉานในคราบของคน
เป็นแค่เสี้ยนเล็กๆไร้พิษสง ของผู้ฝึกจิตตนได้ดีแล้ว ไม่มีใครที่มีความสุขเพราะความอาฆาตคนอื่น ไม่มีใครมีความรื่นรมเลยเมื่อริษยาผู้อื่น ไฟคื่อโทสะย่อมแผดเผาใจเขาเหล่านั้นเองอยู่แล้ว ผู้เห็นจริงในข้อนี้ย่อมไม่หวั่นไหวย่อมเป็นสุข ไม่เร่าร้อนเพราะไฟภายนอก เพราะเขาได้ควบคุมไฟภายในใจตนได้แล้วอย่างนี้



ประสิทธิ์ ปาปะแพ
12 ตุลาคม 2014 · 
การทำสมาธิ ให้เราคิดว่าเป็นการพักผ่อน แล้วเราจะทำได้ทุกที่และทุกเมื่อที่เรายินดีที่จะทำ...




ประสิทธิ์ ปาปะแพ
13 ตุลาคม 2014 · 
คนที่คิดว่าตนเองเก่ง เขาจะพยายามทำในทุกเรื่องเพื่อเอาชนะคนอื่น ซึ่่งเขาไม่รู้ตัวเลยว่าได้สร้างศรัตรูไว้ในมุมมืดที่คอยจ้อง เพื่อทำร้ายตนเองให้พินาศ เพราะแท้ที่จริงแล้วความคิดที่เข้าใจว่าตนเก่งนั้นคือความหลงผิดอย่างน่าหวาดเสียว
ส่วนผู้มองเห็นความจริงข้อนี้ เขาย้อมพยายามเอาชนะตนทุกวิถีทาง และทำตนเป็นที่รักแก่คนทั้งหลาย คนอย่างนี้จะตื่นก็เป็นสุขหลับก็เป็นสุข ไม่มัวระแวงภัยภายนอก เพราะเขาได้ควบคุมภัยร้ายภายในใจตนได้นั่นเอง...




ประสิทธิ์ ปาปะแพ
13 ตุลาคม 2014 · 
สัจจะ นั้นหมายถึง ความจริงใจ
คนที่คิดแล้ว ด้วยความจริงใจ จึงพูดด้วยความจริงใจ จึงทำด้วยความจริงใจ
ท่านจึงเรียกว่าเป็นผู้มีสัจจะ คือมีความจริงใจเป็นเหตุต้น ในหลักการเล่าเรียนพระคาถาเลขยันต์ครูท่านจึงมีหลักและข้อห้ามต่างๆให้ยึดถือปฏิบัติ ผู้ที่รับสัจจะจากครูบาอาจารย์มาแล้วเพื่อให้เกิดความเข้มขลังก็ต้องถือข้อห้ามนั้นให้ได้ด้วยความจริงใจ หากกระทำได้ตามที่ได้รับสัจจะมาผู้เล่าเรียนจะเกิดความเจริญในวิชชาความรู้นั้นๆ ส่วนผู้ถือได้บ่างไม่ได้บ่าง การที่จะประสบผลสำเร็จในวิชชาก็เกิดได้ยาก เพราะขาดความจริงใจต่อครูต่อวิชชา แม้การดูลูกศิษย์ท่านอย่ากรู้ว่าบุคคลใดมีความเคารพศรัทธาในครูด้วยใจจริงท่านก็ดูที่การกระทำและคำพูด เพราะถ้าบุคคลใดพูดสักแต่ว่าพูดแต่การกระทำไม่เป็นไปอย่างที่ได้พูดไว้ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม ท่านก็สามารถรู้ได้เลยว่าคนๆนั้นไร้ความจริงใจต่อครู ต่อให้ได้รับวิชชาไปมากมายเท่าใดก็ตาม สิ่งที่ได้ไปก็เป็นได้แค่บทสวดธรรมดาเท่านั้น คำว่าครู หรือ ครุ ซึ่งแปลว่าหนัก จึงต้องเป็นผู้รับภาระที่หนักหนา แต่ต้องทำตนเป็นผู้มีใจหนักแน่น จึงจะทำหน้าที่ของความเป็นครูได้อย่างสมบูรณ์ตามหน้าที่ตน การที่จะให้ใครหลายๆคนเดินตามรอยได้อย่างดีงามมันเป็นเรื่องที่ยาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ฉนั้นเมื่อเรายังเป็นลูกศิษย์ ซึ่งยังอาศัยครู และต่อไปเราก็ต้องได้เป็นครูเขาแม้ในวันหนึ่ง ในเมื่อเรามีหน้าที่ความเป็นศิษย์แล้วไม่พยายามทำหน้าที่ความเป็นศิษย์นั้นให้สมบูรณ์ วันข้างหน้าเราจะมีความภูมิใจอะไรหรือที่ได้เป็นครูเขา คนที่จะเรียนตำราขลังคือคนที่ฝึกตนให้เข้มขลังในคุณความดี แม้คนที่เราอาจมองว่าเขาเป็นโจรเป็นนักเลงแต่ทำไมเขาเก่งมากมายนัก นั่นเพราะถึงแม้กับคนอื่นเขาจะไม่ดีอย่างไร แต่กับครูเขาไม่ยอมปรามาทเลย ความดีนี้แหละที่เขายังเหลือไว้ให้ตนเองอยู่ จึงไม่ต้องกล่าวถึงผู้ที่ท่านฝึกตนไว้ดีแล้ว.....



บริกรรมคาถาให้เกิดสมาธิเพื่อความขลังศักดิ์สิทธิ์แห่งมนต์ตรา

ภาวนาคาถาให้เกิดสมาธิเพื่อความขลังศักดิ์สิทธิ์แห่งมนต์ตรา




การทำสมาธิโดยวิธีนึกถึงคำภาวนา การทำสมาธิ คือการทำใจให้สงบนิ่งรวมเป็นหนึ่งเดียว มีวิธีทำได้หลายวิธี  ในการภาวนานั้นผู้ทำสมาธิจะนึกถึงคำใดคำหนึ่งตามที่ พระอาจารย์จะเลือกให้หรือเลือกเอง เช่นคำว่า พุทโธ อรหัง ยุบหนอพองหนอ เป็นต้น  การนึกว่าในใจซ้ำๆ ขณะเดียวกันก็น้อมใจนึกถึงแต่คำบริกรรมนั้นไม่หยุด  นับเป็นชั่วโมงหรือเป็นวัน  ติดต่อกันเนืองๆ  ก็จะทำให้เกิดสมาธิจิตขึ้นมาได้   แม้ในหลักของการใช้คาถาให้ศักดิ์สิทธิ์   ก็มีหลักการปฏิบัติที่สอดคลองอย่างเดียวกัน   นั่นก็คือเมื่อเราต้องการเล่าเรียนคาถาให้ศักดิ์สิทธิ์เข้มขลัง  ก็ให้เลือกเอาบทคาถาบทใดบทหนึ่งมาท่องบริกรรมในใจตลอดทั้งวัน   น้อมจิตนึกถึงตัวบทคาถากลับไปมาอยู่อย่างนั้น  แม้จะทำอะไรอยู่ก็น้อมจิตนึกถึงคาถาบทนั้นๆกลับไปกลับมา  ทำจนจิตเรารวมเป็นอันเดียวกับคาถาบทนั้นๆ   ก็จะทำให้เกิดจิตชนิดหนึ่งที่เรียกว่า  อารมณ์เดียว  จิตเป็นหนึ่งเดียว  มีสมาธิกำลังที่ตั่งมั่น  ถ้าเป็นคาถาด้านคงกระพัน  จิตจะฮึกเหิม  ไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดเลย  ยิ่งบริกรรมขนหัว  ขนตัวจะยิ่งลุกเป็นปิติเกิดขึ้นเป็นละลอก  จิตจะกล้าแข็งคาถาก็จะเกิดอานุภาพเข้มขลังมาก   คนใดทำได้อย่างนี้  ฝึกได้อย่างนี้  คือไม่ขี้เกียจขี้คลานในการบริกรรม  ตั่งจิตน้อมนึกถึงคุณครู  น้อมนึกถึงบทคาถา  และเพียรพยายามท่องซ้ำไปมาในใจไม่ได้ขาด   เขาผู้นั้นย่อมให้ถึงความสำเร็จแก่การเล่าเรียนคาถาเลขยันต์ได้เร็วไวอย่างแน่นอน  วิธินี้ผู้เขียนได้ทำมาเป็นผลมาแล้ว   ถ้าใครทำตามจะเกิดผลตามที่กล่าวมา  เมื่อเริ่มเรียนกับพ่อครู  ผมเองจะเอาบทคาถามากระทำอย่างที่กล่าวนี้ไม่ถึงสามวันก็ให้เห็นความแตกต่างและเปลี่ยนแปลง   เราอาจเข้าใจแค่ว่าการทำสมาธิทำได้แค่การนั่งสมาธิจึงเรียกว่าทำสมาธิ  แท้ที่จริงแล้วการที่เราจะทำให้จิตเกิดเป็นสมาธิและมีกำลังได้นั้น  มีหลายวิธี  และวิธีหนึ่งนั้นก็คือการใช้บทคาถามาภาวนาแต่ในใจซ้ำไปมา   ถ้าในหลักการปฏิบัติธรรม  การภาวนานั้นจะมีเจตนาเพื่อให้จิตสงบระงับจากนิวรณ์ธรรม  คือเครื่องเศร้าหมองใจ  เมื่อนิวรณ์สงบก็จะพัฒนาจิตเข้าสู่การเจริญปัญญาเป็นลำดับ   หากแต่เมื่อเราต้องการนำสมาธิมาใช้กับการเรียนพระคาถานั้น  ครูบาอาจารย์ท่านก็จะสอนให้เอาบทหัวใจคาถานั้นๆให้ฝึกในการภาวนาในใจ จนเกิดสมาธิและเป็นผลให้คาถาเข็มขลัง   ฉนั้นถ้าผู้ใดเล่าเรียนคาถาแล้วรู้สึกว่าตนเองเรียนไม่ขลังไม่ศักดิ์สิทธิ์   ก็ให้ปฏิบัติตามที่กล่าวสอนนั้นเสีย  แล้ววิชาจะเกิดความก้าวหน้า  เมื่อท่านจะเรียนวิชาควบคู่ไปกับการบริกรรมนั้น   สิ่งจำเป็นอย่างหนึ่งที่จะเป็นเครื่องควบคุมจิตเราให้ดำเนินไปตามรอยความดีได้คือการทำตนให้มีศีล  ฝึกสมาธิ  เจริญสติไปพร้อมๆกับการฝึกเอาคาถามาภาวนา   เพราะเเรงแห่งคาถานั้น  ถ้าผู้ใดเรียนขลังมากๆ  จะฮึกเหิมมาก   ยิ่งขลังยิ่งฮึกเหิมไม่เกรงกลัว  จนบางครั้งลืมนึกถึงชั่วดีไปเลย   คนถ้าขาดสติยับยั้งมันก็สามารถทำให้เกิดผลเสียหายได้  ถ้าเคยได้ยินประวัติคนเก่าก่อนที่ท่านเรียนวิชาขลังๆ  เวลาวันพระหรือวันโกน  แม้บ่างทีเวลาโกรธ  ก็จะแสดงอาการที่น่ากลัวและเหลือเชื่อ   ครูบางคนวิชชาแข็งมากๆ  เวลาของขึ้นแล้วบังคับความรู้สึกตนไม่ได้ก็จะต้องหาที่ละบาย  เช่นวิชาหนุมานคลุกฝุ่นบางท่านตอนของขึ้นวิ่งชนเข้าไปในกอไผ่หนามโดยไม่เป็นอะไร  แต่พอหมดฤทธิ์เท่านั้น  ออกจากกอไม้ไผ่หนามไม่ได้  ต้องให้คนตัดเข้าไปช้วย  อย่างนี้ก็มี   ซึ่งก็เป็นอาการคนเรียนวิชาขลัง  แต่ควบคุมจิตตนไม่ค่อยได้   ฉนั้นก็ต้องให้ผู้ฝึกปฏิบัติศีลธรรม   จะได้มีสติยับยั้งตนได้  วิธีเรียนให้คาถาขลังมันมีเคล็ดไม่มากอะไร  บางทีมันเรื่องง่ายๆที่เรามองข้าม  สิ่งหนึี่งที่อยากจะเตือนท่านทั้งหลาย  ความขลังความศักดิ์สิทธิ์นั้น  เมื่อมีมากใจมันก็ร้อนรนเป็นทุกข์  เพราะจิตมันมุ่งแต่เรื่องอย่างนี้ เพียงอย่างเดียวโดยขาดหลักเเห่งสติปัญญาคอยควบคุม  คนที่เพ่งไปทางใหนมาก  จิตก็จะเอนเอียงไปในทางนั้นมาก  คนเรียนเสน่ห์มาก หากไม่ตั่งมั่นด้วยจิตอันเป็นกุศล ใจเราก็จะเอนเอียงไปในด้านกามารมณ์ ทำให้จิตพอกพูนในกามคุณ  จิตจะนึกวนแต่เรื่องกาม  เรื่องการเสพกาม   คนเรียนคงกระพันก็จะเอนเอียงไปทางโทษะมาก  กระทบกับอารมณ์มีคนว่านิดหน่อยก็โกรธตัวสั่นใจสั่นขนลุกขนพอง   แทบอยากจะฉีกเนื้อคนอื่นกิน  ความรู้สึกมันอย่างนั้นเลย  
ทุกอย่างในโลก  มันมีทั้งข้อดีและข้อเสียในสิ่งๆนั้น  หากเราท่านมีกุศลจิตมีสติปัญญาประกอบเราก็จะสามารถเลือกใช้ด้านดีๆได้อย่างถูกต้องและควบคุมด้านไม่ดีได้ไม่ให้เกิดโทษ   และก็ไม่มีใครทำให้กันได้  มีแต่บอกกันไว้เตือนกันไว้เท่านั้น  ต่างคนต่างก็ต้องทำเอา   ในหลักการฝึกคาถาให้ขลังที่กล่าวมานี้  ผมก็ได้แสดงทั้งผลดีและผสเสียให้ได้เห็น  เพื่อให้เราท่านได้พิจจารนาเอาในการถือปฏิบัติ
ท้ายที่สุดนี้  ก็ขอให้จิตเรานั้น  ตกอยู่ในอำนาจความดีให้มากเถิด  ไม่มีอะไรเกินกรรม  เมื่อรู้เช่นนั้น  จงหมั่นสร้างกรรมดีให้จงมาก  เพื่อเราจะได้เป็นที่พึ่งที่แท้จริงในทุกๆภพชาติที่ยังเวียนเกิดเวียนตายอยู่
จงใช้วิชาเป็นเครื่องมือเเสวงหาความดีเข้าตน  อย่าเอาวิชามาครอบงำใจตน  เด้อออ      สาธุๆๆ




การหาฤกษ์งาม-ยามดี

การหาฤกษ์งาม-ยามดี

วิวัฒนาการของคนผ่านกาลเวลา พบกับภัยธรรมชาติ ทั้ง ฟ้าผ่า ไฟไหม้ น้ำท่วม ความแห้งแล้ง ทำให้เกิดการบอกเล่าและสังเกต จดจำ ทำสถิติจดบันทึก เปรียบเทียบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยาวนานนับร้อย นับพันปี เป็นขุมความรู้ของมนุษย์ ว่าฤดูกาลใดควรทำสิ่งใด วันใดเวลาใดทำการแล้วได้ผลดี วันใดทำแล้วเกิดผลเสีย
การหาฤกษ์งาม-ยามดี จึงหมายถึงเวลาที่มีอิทธิพลในชีวิตประจำวันของคน โดยเฉพาะเวลาประกอบพิธีต่างๆ ย่อมจะติดขัดถ้าไม่รู้ฤกษ์ยาม ความเชื่อของคนเชื่อว่า ฤกษ์นอกจากจะช่วยให้อยู่ดีกินดี ยังมีผลในทางสังคมวิทยาด้วย เช่น การหาวัน เวลาที่เหมาะสม ย่อมสามารถนัดหมายญาติ-มิตรให้พร้อมเพรียง เพื่อประกอบกิจการงานที่ต้องการความร่วมมือ ร่วมแรงร่วมใจนั้นให้สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างบ้านแปงเฮือน แต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ ซึ่งฤกษ์ยามที่ควรทำรู้จักมีดังนี้
  • วันจมวันฟู วันจมคือวันไม่ควรทำการอันเป็นมงคลต่างๆ ทุกอย่าง เพราะจะนำไปสู่ความล่มจมหายนะ ต้องทำการในวันฟูคือวันที่เฟื่องฟู นำไปสู่ความก้าวหน้า ควรทำการมงคลในวันนี้ วันจมและวันฟูรู้ได้อย่างไร โบราณท่านได้บันทึกไว้เป็นหลักฐานดังนี้
เดือน
วันจม
วันฟู
อ้าย (เดือน ๑)
วันศุกร์
วันจันทร์
ยี่ (เดือน ๒)
วันเสาร์
วันอังคาร
สามแปด
วันอาทิตย์
วันพุธ
สี่เก้า
วันจันทร์
วันพฤหัสบดี
ห้าสิบ
วันอังคาร
วันศุกร์
หกสิบเอ็ด
วันพุธ
วันเสาร์
เจ็ดสิบสอง
วันพฤหัสบดี
วันอาทิตย์
  •  
  • วันอมุตโชค คือวันที่เป็นมงคลยิ่ง เป็นวันที่เชื่อกันว่าเยี่ยมยอดด้วยโชค ดังนั้นการประกอบพิธีต่างๆ นอกจากจะให้ตรงกับวันฟูวันจมแล้ว ยังต้องให้ตรงกับวันอมุตโชคนี้ด้วย จึงจะได้ชื่อว่าได้รับมงคลยิ่ง การศึกษาวันอมุตโชคให้ยึดข้างขึ้นข้างแรมที่ตรงกับวันต่างๆ ไม่ว่าจะในสัปดาห์ และเดือนใดก็ตาม ดังนี้

อาทิตย์
จันทร์
อังคาร
พุธ
พฤหัสบดี
ศุกร์
เสาร์
ข้างขึ้น (ค่ำ)
8
3
9
2
4
1
5
ข้างแรม (ค่ำ)
8
3
9
2
4
1
5
  •  
  • วันดีถีทั้งห้า คือ วันที่พระจันทร์ประกอบด้วยฤกษ์ที่เป็นมงคล ดวง และแต่ละดวงก็จะอำนวยผลต่อสิ่งที่เรากระทำต่างประเภทกัน วันดิถีทั้งห้าเราจะรู้จากวันขึ้นแรมของทุกเดือน ที่ตรงกับวันต่างๆ ดังนี้
ชื่อดิถี
วัน
ข้างขึ้น-แรม (เดือน)
การกระทำ
ไชยดิถี
อังคาร
3-8-13 ค่ำ
เหมาะสำหรับการสรงน้ำคุด ขอ นอ งา และให้ออกทัพจับศึก
ภัทรดีถี
พุธ
2-7-12 ค่ำ
เหมาะสำหรับการให้ยศ ให้ตำแหน่ง และฉลองศักดินาตราตั้ง
ปุณณดิถี
พฤหัสบดี
5-10-15 ค่ำ
เหมาะสำหรับการประกอบการค้าและปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร
นันทดีถี
ศุกร์
1-6-11 ค่ำ
เหมาะสำหรับการปลูกเรือนย้าวท้าวพระยา
มิตตะดิถี
เสาร์
4-9-14 ค่ำ
เหมาะสำหรับการเจริญทางการทูต ผูกเสี่ยว การสู่ขวัญต้อนรับ
  •  

ดิถีมหาโชค
ดิถีมหาโชค การทำงานมงคลทั้งการแต่งงาน ปลุกบ้านเฮือนใหม่ ขึ้นบ้านใหม่ เฉลิมฉลองใดๆ ให้เลือกทำและละเว้นตามวันในตารางข้างล่างนี้
วัน
อาทิตย์
จันทร์
อังคาร
พุธ
พฤหัส
ศุกร์
เสาร์
ดิถี
คำทาย
ขึ้น-แรม (เดือน)
8
3
9
2
4
1
5
อำฤตโชค
ดี
ขึ้น-แรม (เดือน)
11
5
14
10
9
11
4
สิทธิโชค
ดี
ขึ้น-แรม (เดือน)
14
12
13
4
7
10
15
มหาสิทธิโชค
ดี
ขึ้น-แรม (เดือน)
8
3
13
10
4
1
11
ชัยโชค
ดี
ขึ้น-แรม (เดือน)
6
3
9
6
12
1
5
ราชาโชค
ดี
ขึ้น-แรม (เดือน)
1
4
6
9
5
3
7
ทึกทึน
ชั่ว-ร้าย
ขึ้น-แรม (เดือน)
4
6
1
3
8
7
1
ทรธึก
เลว
ขึ้น-แรม (เดือน)
12
11
7
13
6
8
9
ยมขันธ์
เลว
ขึ้น-แรม (เดือน)
4
6
1
3
3
9
1
อัตนิโรจน์
เลว
ขึ้น-แรม (เดือน)
1
2
10
7
1
6
6
ทินกาล
เลว
ขึ้น-แรม (เดือน)
12
10
15
8
5
7
8
ทินสูญ
เลว
ขึ้น-แรม (เดือน)
4
6
1
3
8
9
10
กาฬโชค
เลว
ขึ้น-แรม (เดือน)
4
2
7
5
8
3
6
กาลสูญ
เลว
ขึ้น-แรม (เดือน)
12
11
10
9
8
7
1
กาลทัณฑ์
เลว
ขึ้น-แรม (เดือน)
4
6
10
9
8
9
1
โลกวินาส
เลว
ขึ้น-แรม (เดือน)
4
8
6
4
8
8
9
วินาสส์
เลว
ขึ้น-แรม (เดือน)
6
10
8
7
2
9
12
พิลา
เลว
ขึ้น-แรม (เดือน)
9
1
10
9
8
7
6
มฤตยู
เลว
ขึ้น-แรม (เดือน)
7
8
4
7
1
14
14
วันบอด
เลว
ขึ้น-แรม (เดือน)
5
6
10
8
11
5
7
กาลทีน
เลว
การเลือกทำและละเว้นให้ดูวันในแต่ละเดือนว่าดี หรือเลว ดีให้เอา เลวให้ละเว้น และถ้าไปตรงกับวันจมแม้จะเป็นวันอำฤตโชคก็ให้เว้นด้วย เช่นกัน
ดิถีมหาสูญ
ถ้าเดือนต่อไปนี้ ตรงกับวันขึ้น-แรม (เดือน) ดังตารางถือว่าเป็นวันมหาสูญ แม้ว่าบางครั้งวันขึ้นแรมจะตรงกับ ช่องแรกของวันดิถีมหาโชค แต่วันในสัปดาห์ไม่ตรงกันก็ถือว่า เลว จึงห้ามประกอบพิธี หรือการงานมงคลทั่วไป
เดือน
ขึ้น-แรม/ค่ำ
เดือน
ขึ้น-แรม/ค่ำ
6-3
4
7-10
8
8-5
6
11-2
12
9-12
10
4-1
2

ฤกษ์เดินทาง
เวลาจะเดินทางไปทำการมงคล หรือประกอบธุรกิจอะไร ห้ามไปหรือเดินทาง หรือนั่งหันหน้าไปในทิศทางที่ผีหลวง หรือหลาวเหล็กอยู่ ควรหันหน้าไปในทิศที่เทพเจ้าอยู่ ถ้าจำเป็นต้องเดินทางก็ให้เดินทางไปในทิศทางที่เทพเจ้าอยู่ก่อนแล้ว ค่อยโค้งคืนมาในทิศทางไม่ดีนั้น ผีหลวงหลาวเหล็ก หรือเทพเจ้าอยู่ประจำทิศต่างๆ กัน ตามวันดังนี้
วัน
เทพเจ้าอยู่ทิศ
หลาวเหล็กอยู่ทิศ
ผีหลวงอยู่ทิศ
อาทิตย์
ตะวันออกเฉียงใต้
ตะวันตก
ตะวันออกเฉียงเหนือ
จันทร์
ตะวันตก
ตะวันออก
ตะวันออก
อังคาร
ตะวันตกเฉียงใต้
เหนือ
ตะวันออกเฉียงเหนือ
พุธ
ใต้
เหนือ
เหนือ
พฤหัสบดี
เหนือ
ใต้
ใต้
ศุกร์
ตะวันออก
ตะวันตก
ตะวันตก
เสาร์
ตะวันตกเฉียงเหนือ
ตะวันออก
ตะวันออกเฉียงใต้

ทิศและยามดีประจำวัน
ถ้าต้องการจะเดินทางไปทำการค้าขาย ทำธุรกิจยังต่างถิ่นต่างที่ ควรจะเลือกเวลาในการเดินทาง และทิศทางเดินออกจากเคหสถานเพื่อโชคลาภ ทำมาค้าขึ้น ดังนี้
วัน
ชื่อยาม
เวลาดี
ทิศดี
อาทิตย์
ยามศุกร์
07.30 - 09.00 น.
เหนือ
ยามพุธ
09.00 - 10.30 น.
ทุกทิศ
ยามจันทร์
10.30 - 12.00 น.
ตะวันตก
จันทร์
ยามเสาร์
07.30 - 09.00 น.
เหนือ
ยามพฤหัส
13.30 - 15.00 น.
ทุกทิศ
ยามศุกร์
15.00 - 16.30 น.
ทุกทิศ
ยามพุธ
16.30 - 18.00 น.
ทุกทิศ
อังคาร
ยามศุกร์
09.00 - 10.30 น.
เหนือ
ยามพุธ
10.30 - 12.00 น.
ตะวันตก
ยามจันทร์
12.00 - 13.30 น.
ตะวันออก
ยามเสาร์
13.30 - 15.00 น.
เหนือ
ยามพฤหัส
15.00 - 16.30 น.
ทุกทิศ
พุธ
ยามพุธ
06.00 - 07.30 น.
ทุกทิศ
ยามจันทร์
07.30 - 09.00 น.
ทุกทิศ
ยามพฤหัส
10.30 - 12.00 น.
ทิศเหนือ
ยามศุกร์
15.00 - 16.30 น.
ทิศตะวันออก
ยามพุธ
16.30 - 18.00 น.
ทุกทิศ
พฤหัสบดี
ยามพฤหัส
06.00 - 07.30 น.
ทุกทิศ
ยามอาทิตย์
09.00 - 10.30 น.
ทุกทิศ
ยามศุกร์
10.30 - 12.00 น.
ทุกทิศ
ยามพุธ
12.00 - 13.30 น.
ทุกทิศ
ยามจันทร์
13.30 - 15.00 น.
ทุกทิศ
ยามพฤหัส
16.30 - 18.00 น.
ทิศอุดร
ศุกร์
ยามศุกร์
06.00 - 07.30 น.
ทุกทิศ
ยามพุธ
07.30 - 09.00 น.
ทุกทิศ
ยามจันทร์
09.00 - 10.30 น.
ทิศตะวันออก
ยามเสาร์
10.30 - 12.00 น.
ทุกทิศ
ยามพฤหัส
12.00 - 13.30 น.
ทุกทิศ
ยามอังคาร
13.30 - 15.00 น.
ทิศเหนือ
ยามศุกร์
16.30 - 18.00 น.
ทุกทิศ
เสาร์
ยามพฤหัส
07.30 - 09.00 น.
ทุกทิศ
ยามศุกร์
12.00 - 13.30 น.
ทุกทิศ
ยามพุธ
13.30 - 15.00 น.
ทุกทิศ

ดิถีฤกษ์ห้ามกระทำมงคล
โบราณาจารย์อีสานท่านกล่าวไว้ว่า สงฆ์ 14 นารี 11 สมรส เผาศพ 15 นั้น ไม่ดีเลย ห้ามกระทำเด็ดขาด ความหมายของคำกล่าวนี้ คือ
1.        สงฆ์ 14 ในที่นี่ตัวเลข 14 หมายถึงวันข้างขึ้นหรือข้างแรม 14 ค่ำ มิได้หมายถึงจำนวนพระสงฆ์ 14 รูป ดังนั้นการกระทำกิจการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการนิมนต์พระสงฆ์มาประกอบพิธีกรรม เช่น การขึ้นบ้านใหม่ เปิดป้ายอาคารสำนักงาน งานบวช งานแต่ง จะไม่เป็นมงคลเกิดวิบัติในภายหลัง พึงละเว้น (กุศโลบายนี่น่าจะหมายถึง วันเหล่านี้พระสงฆ์ท่านมีกิจจะต้องกระทำอยู่ในวัดห้ามรบกวน)
2.        นารี 11 ในที่นี่ตัวเลข 11 ก็หมายถึงวันข้างขึ้นข้างแรม 11 ค่ำ เช่นเดียวกัน มิได้หมายถึงจำนวนสตรี 11 นางแต่อย่างใด การทำงานมงคลที่เกี่ยวข้องกับสตรีทุกเภททุกวัย ไม่ควรกระทำในวันนี้ เช่น การบายศรีสู่ขวัญ
3.        สมรส 7 การทำพิธมงคลสมรสก็มีข้อห้ามมิให้กระทำในวันข้างขึ้นหรือข้างแรม ค่ำ โดยเฉพาะถ้าเป็นข้างขึ้น ค่ำ ตรงกับวันศุกร์ห้ามเด็ดขาด
4.        เผาศพ 15 การเผาศพหรือปลงศพ ก็มีข้อห้ามไม่ให้กระทำในวันข้างขึ้นหรือข้างแรม 15 ค่ำ เพราะพระสงฆ์มีกิจต้องกระทำในวันธัมมัสวนะและวันอุโบสถ ยิ่งถ้าไปตรงกับวันศุกร์ 15 ค่ำ โบราณท่านห้ามเด็ดขาดเพราะตรงกับวันปลงพระศพของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า